นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,570-1,579 จุด เนื่องจากอาจได้รับแรงกดดันจากการที่แบงก์ใหญ่ อย่าง KTB , KBANK ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/60 ออกมาแล้วต่ำกว่าตลาดคาด ทำให้ราคาหุ้นอาจปรับตัวลงก่อนที่จะเด้งขึ้นไป เนื่องจากหุ้นแบงก์ใหญ่ได้ปรับตัวลงรับข่าวล่วงหน้าไปแล้ว
อย่างไรก็ดี คาดว่าจะได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงานที่ยังดีต่อเนื่อง โดยหุ้น TOP ก็ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง, PTTEP ก็น่าจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันเด้งขึ้นวานนี้หลังจากที่สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง สำหรับการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดว่าน่าจะคงมาตรการตามเดิมอยู่ เพียงแต่ในส่วนของ ECB อาจมีการส่งสัญญาณลดนโยบายผ่อนคลาย และอาจเปิดแผนนโยบายเข้มงวดขึ้นในเดือนก.ย. ส่วน BOJ ให้จับตามุมมองการปรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
นอกจากนี้ เงินเยน, เงินยูโร และเงินบาท ยังคงแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลง ทำให้เชื่อว่าเงินทุนยังคงไม่ไหลออกไปไหน
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (19 ก.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,640.75 จุด เพิ่มขึ้น 66.02 จุด (+0.31%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,385.04 จุด เพิ่มขึ้น 40.74 จุด (+0.64%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,473.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.22 จุด (+0.54%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 26.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.47 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 98.32 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 7.02 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 1.75 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.58 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 15.24 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (19 ก.ค.60) 1,575.85 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด (+0.28%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 114.71 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 ก.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (19 ก.ค.60) ปิดที่ 47.12 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (19 ก.ค.60) ที่ 7.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.61 รอลุ้นผลประชุมนโยบายการเงินของ ECB-BOJ วันนี้
- ส.อ.ท.เล็งปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ จาก 2 ล้านคัน เหลือ 1.9 ล้านคัน ต่ำกว่าปีก่อนที่มี จำนวน 1.95 ล้านคัน หลังตลาดส่งออกร่วงหนัก คาดยอดส่งออกเหลือ 1.1 ล้านคัน ตลาดตะวันออกกลางร่วงมากสุด 47% เหตุเศรษฐกิจชะลอ ส่วนยอดขายในประเทศคงเป้าเดิม 8 แสนคัน ขณะค่ายรถมั่นใจภาพรวมตลาดรถปีนี้ขยายตัว
- ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย.2560 อยู่ที่ระดับ 84.7 ลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 3 เดือน เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ จากการระมัดระวังการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ประกอบกับอยู่ในช่วงฤดูฝน ทำให้การดำเนินกิจกรรมของภาคธุรกิจชะลอตัวลง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ทำให้ภาคเอกชนกังวลจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากขยายตัวและมีความเข้มแข็งขึ้น จากการอัดฉีดเงินผ่านสินเชื่อของสถาบันการเงินของรัฐและเงินจากงบประมาณ ถือเป็นมาตรการดำเนินการมาถูกทางแล้ว เพราะทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็งขึ้น สะท้อนได้จากการขยายตัวการบริโภคภาคเอกชนที่ดีขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคสินค้าคงทน ได้แก่ รถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ที่ขยายตัวได้ดีทุกภูมิภาค
- บอร์ด ขสมก.อนุมัติราคากลางที่เบสท์รินเสนอต่ำสุด 3.38 พันล้าน เปิดประมูลรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันรอบใหม่ ยันขายซอง ส.ค. รับมอบรถปีนี้ หากไม่มีใครสนต้องเริ่มใหม่ พร้อมเดินหน้าติดตั้งป้ายอัจฉริยะ 20 จุด เสร็จในเดือนเดียว เสนอคมนาคมชง ครม.ซื้อรถเมล์ไฟฟ้า 200 คัน
*หุ้นเด่นวันนี้
- TCAP (เอเชีย เวลท์) "ซื้อ"เป้า 55 บาท เป็นหุ้นเด่นวันนี้จากผลงานออกมาดี สินเชื่อกลับมาฟื้นตัว และแนวโน้มสดใส โดยรายงานกำไร Q2/60 ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% YoY โดย NIM ดีขึ้นจากต้นทุนทางการเงินลดลงและสินเชื่อโต รวมถึงการตั้งสำรองลดลง ซึ่งสินเชื่อฟื้นตัว 0.6% YTD หลังหดตัว 3 ปีติดต่อกัน หนุนโดยสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มเช่าซื้อ มองอุปสงค์สินเชื่อนับจากนี้จะเร่งขึ้นไปอีกตามยานยนต์กำลังฟื้นตัว การบริโภคในครัวเรือนที่กำลังขยายตัว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ คาดการณ์สินเชื่อของ TCAP ปีนี้จะเติบโต 5%
- AOT (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 58 บาท แม้กำไรปกติ H2/60 (เม.ย.-ก.ย.60) รับผลกระทบ Low season แต่มองยังมีกำไรปกติเติบโตในระยะยาว นอกจากการเติบโตจากรายได้หลักที่เป็นไปตามแนวโน้มธุรกิจ ยังโตจากการขยายการลงทุนต่อเนื่อง ประเมินกำไรปกติระว่างปี 60-64 โตเฉลี่ย 16.2% ต่อปี (CAGRs) ยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนจาก (1) ความกังวลลดลงกรณีค่าเช่าที่ดินราชพัสดุ และ (2) การเปิดประมูลสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีรอบใหม่ Q4/60-Q1/61
- BANPU (โกลเบล็ก) เป้า 22.40 บาท Bloomberg Consensus คาดกำไร Q2/60 ที่ 2.19 พันล้านบาท +52%QoQ แม้ราคาถ่านหินในตลาดโลกจะปรับตัว 4%QoQ สู่ระดับ 78.9 ดอลลาร์2ตัน แต่คาดผลกระทบด้านลบจากค่าเงินบาทจะไม่มากเท่า Q1/60 โดยทั้งปีคาดกำไรราว 8.8 พันล้านบาท +429 YoY ราคาถ่านหินสูงขึ้น 8%MTD แตะสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 86 $/Ton จากน้ำท่วมใหญ่ทางจีนขยายวงกว้างljงผลให้โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำผลิตไฟฟ้าไม่ได้ ต้องหันมาใช้ถ่านหิน ฝ่ายวิจัยมองราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบคดีความหงสาไปแล้ว อีกทั้งราคาถ่านหินสูงขึ้นเป็นบวก เพราะทำสัญญาขาย 50% และอีก 50% อ้างอิงราคา spot