โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) หลังราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ได้สะท้อนผลของข่าวลบจากเกณฑ์ใหม่คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคล และสินเชื่อบัตรเครดิตไปแล้ว จนทำให้เห็น Upside ที่น่าสนใจลงทุน นอกจากนี้ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/60 ก็ยังออกมาแข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรปี 60 จะยังเติบโตได้แม้จะต้องเผชิญเกณฑ์คุมเข้มดังกล่าว โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ไว้ในช่วง 2,531-2,700 ล้านบาท จากปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิ 2,495 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง KTC อาจจะมีความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากเกณฑ์ใหม่ของทางการ ซึ่งจะทำให้หาลูกค้าได้ยากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอดูว่าเกณฑ์ใหม่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะมีการประกาศลงราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่สัปดาห์หน้านั้น จะมีความเข้มข้นในระดับใด เบื้องต้นคาดว่าจะมีทั้งเรื่องการควบคุมการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต รวมถึงมีประเด็นเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยด้วย
ราคาหุ้น KTC พักเที่ยงอยู่ที่ 112 บาท ลดลง 2 บาท (-1.75%) ขณะที่หุ้นไทย ปรับขึ้น 0.13%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ธนชาต ซื้อ 156.00 กสิกรไทย ถือ 144.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 122.00 เออีซี ซื้อ 120.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 120.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทยอยซื้อ 115.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ถือ 114.00 ไอร่า ถือ 111.00
นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล ผู้ช่วยอำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น KTC เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันยังมี Upside จากราคาเป้าหมาย และผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/60 ก็ออกมาแข็งแกร่งอยู่ รวมถึงมองว่ากำไรปีนี้ ยังปรับตัวขึ้นได้ โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ไว้ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% จากปีที่แล้ว
แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง KTC จะมีความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากเกณฑ์ใหม่การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลของทางการ ซึ่งทำให้หาลูกค้าได้ยากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอดูว่าเกณฑ์ใหม่จะมีความแข้มมากแค่ไหน ซึ่งที่มองกันไว้ก็มีทั้งเรื่องการคุมการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต รวมถึงมีประเด็นเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ดังนั้นต้องรอดูความชัดเจนก่อนจึงจะคาดการณ์ผลที่จะตามมาได้
ทั้งนี้ ในปีนี้คาดว่า KTC จะมีการเติบโตของสินเชื่อประมาณ 6% ลดลงจากปีที่แล้ว ที่มีการเติบโตสินเชื่อ 13% โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/60 ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับกว่า 1% เท่านั้น แต่ KTC ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น และด้วยความที่ฐานใหญ่การเติบโตจึงอาจไม่มากเหมือนปีที่ผ่านมา
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าผลกำไรในไตรมาส 2/60 ของ KTC ออกมาแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้น 36% จากงวดปีก่อน และ 7% จากไตรมาสก่อน ซึ่งตรงกับประมาณการ ทำให้ผลกำไรรวมในครึ่งแรกปีนี้ เทียบได้เป็น 53% ของประมาณการทั้งปี จึงยังคงคาดการณ์กำไรทั้งปีนี้ในระดับเดิม เนื่องจากยังคาดว่ามาตรการกำกับสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลที่จะออกมาใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรในครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ได้สะท้อนผลของข่าวร้ายนี้ไปแล้ว
บทวิเคราะห์ บล.เออีซี ระบุว่า ตั้งแต่กลางเดือนที่แล้วที่มีข่าวธปท.จะเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบเพื่อคุมหนี้ภาคครัวเรือนให้เข้มงวดขึ้น พบว่าราคาหุ้น KTC ปรับลดลงไปมาก ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อข่าวลบดังกล่าวไปแล้ว อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานใหม่กรณีที่มีการประกาศใช้กฎคุมหนี้ภาคครัวเรือนข้างต้นที่ 120 บาท และคาดยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปีนี้ที่ระดับ 3.9%
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 ของ KTC มีกำไรสุทธิ 787 ล้านบาท โต 35.7% จากงวดปีก่อน โดยกำไรช่วงครึ่งแรกปีนี้ คิดเป็น 51.5% ของประมาณการ แต่ด้วยปัจจุบันหุ้นในกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตยังมีความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มเพดานเงินเดือนที่ไม่ถูกอายัดเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. และการปรับลดวงเงินกู้ของผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/เดือน และลดดอกเบี้ยค่าปรับลงจาก 20% เหลือ 18% ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ 1 ส.ค.นี้ ย่อมกดดันศักยภาพทำกำไร ดังนั้นเพื่อยึดหลักอนุรักษ์นิยม จึงปรับลดประมาณการตั้งแต่ปี 60 เพื่อสะท้อนกรณีที่กฏระเบียบดังกล่าวถูกบังคับใช้
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเกณฑ์คุมเข้มดังกล่าว จะส่งผลให้การเติบโตเฉลี่ยของพอร์ตสินเชื่อในช่วงปี 60-62 ลดเหลือปีละ 8.3% จากเดิมคาดโตปีละ 10%, ผลตอบแทนสินเชื่อบัตรเครดิตลดลงเฉลี่ยปีละ 2% และปรับลดรายได้หนี้สูญจากเดิมคาดโตเฉลี่ยปีละ 10% เหลือ 8% ซึ่งจะกดดันให้ปี 60-62 ของ KTC มีกำไรสุทธิลดลงจากเดิมเฉลี่ยปีละ 21.8% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปีนี้ KTC จะมีกำไรสุทธิ 2,531 ล้านบาท โต 1.5% จากปีที่แล้ว และหดตัว 1.6% ในปี 61 จากรับรู้ผลกระทบเต็มปีเป็นครั้งแรก