นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้จะอยู่ในกรอบ 1,568-1,581 จุด โดยต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 กรกฎาคม นี้ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ย และจะต้องติดตามสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของนางเจเน็ต เยเลน ประธานเฟด ว่าจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้อีกหรือไม่ ซึ่งโอกาสความน่าจะเป็นลดลงมาอยู่ที่ 50%
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาแล้วประมาณ 15-20% และล่าสุดตลาดคาดว่าจะเติบโตประมาณ 9.6% ซึ่งปรับลดลงมาจากไตรมาสที่ 1 ที่เติบโตแรงมากที่ 15%
ด้านการเมืองสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการที่วุฒิสภาจะนำ พ.ร.บ. สุขภาพของพรรครีพับลิกัน เข้าสภาเพื่อลงมติในสัปดาห์นี้ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าไม่น่าผ่าน เพราะที่ผ่านมาเสียงของสมาชิกพรรครีพับลิกัน มีส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย จึงเป็นไปได้อาจจะเสนอเป็นลงมติว่าจะแก้กฎหมายโอบามาแคร์ หรือไม่แทน กระบวนการเหล่านี้จะมีผลให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะต้องชะลอกันออกไปเป็นอย่างมากอีก ด้านคดีรัสเซียที่เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี ของทรัมป์ ยังเป็นประเด็นอย่างต่อเนื่องที่อาจกระทบสถานภาพทางการเมืองของทรัมป์ถึงขั้นอาจถูกถอดถอนได้ แม้ว่าเวลาจะลงมติถอดถอน พรรครีพับลิกัน ไม่น่าแพ้เพราะครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา
ด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยในไตรมาส 2/60 คาดว่าจะหดตัวราว 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากโตอย่างมากที่ 21% ในไตรมาสแรก แต่เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงยังคงกดดันผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มพลังงาน และการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเต็มจำนวนกรณีบมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) ของธนาคารกรุงไทย (KTB) ทำให้ผลประกอบการโดยรวมของธนาคารและ บจ.ในไตรมาส 2 ชะลอตัวลง
"ปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้ตลาดหุ้นยังคงไม่ไปไหน อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาส่งสัญญาณจะปรับลดการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง ซึ่งก็สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป และตัวเลขการส่งออก เดือนมิถุนายน ของไทยเอง ก็ออกมาดีมาก ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น"นายวรุตม์ กล่าว