นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายในปีนี้เป็น 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ 1.8 หมื่นล้านบาท หลังจากทำยอดขายครึ่งปีแรกได้ 1.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายของครึ่งปีแรก 67% หรือตั้งเป้ายอดขายของครึ่งปีแรกอยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท จากการเปิด 5 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม ในโครงการโกลเด้น ทาวน์ ที่ทำยอดขายได้ดีทุกครั้งที่เปิดโครงการ โดยมียอดรวมเฉพาะวันพรีเซล 5 โครงการ รวมกันอยู่ที่ 3.79 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 34.5% ของยอดขายทั้งหมด
แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีแรกทำได้เกินเป้าหมาย แต่บริษัทได้ปรับลดแผนการเปิดโครงการในปีนี้ลดลงเหลือ 15 โครงการ มูลค่ารวม 1.43 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่วางแผนเปิด 21 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท เพราะมีบางโครงการที่ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ หลังติดปัญหาผู้พักอาศัยเดิมยังไม่ย้ายออก ทำให้ต้องปรับแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ ซึ่งตามแผนที่ปรับลดแล้วมี 15 โครงการ ได้แก่ โครงการทาวน์โฮม 13 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ
สำหรับการเปิด 5 โครงการใหม่ในครึ่งแรกปีนี้ ได้แก่ โกลเด้น ทาวน์ อ่อนนุช-ลาดกระบัง มูลค่า 714 ล้านบาท ขายหมดในวันแรก ,โกลเด้น ทาวน์ วงศ์สว่าง-รัชดา มูลค่า 721 ล้านบาท ขายหมดใน 2 วัน ,โกลเด้นทาวน์บางนา-สวนหลวง มูลค่า 812 ล้านบาทขายหมดเฟสแรก ใน 2 วัน , โกลเด้น ทาวน์ 2 สุขสวัสดิ์-พุทธบชู มูลค่า 837 ล้านบาท ขายหมดใน 2 วัน และโกลเด้น ทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัน มูลค่า 711 ล้านบาท
ส่วนในครึ่งหลังปีนี้จะเปิดอีก 10 โครงการใหม่ ขณะที่จะใช้กลยุทธ์การเปิดอาณาจักร BritishAvenue ย่านเกษตรนวมินทร์ จากแผนพัฒนาโครงการทำเลทองที่ได้วางไว้ตั้งแต่ต้นปีที่จะพัฒนาโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังนี้ที่ย่านเกษตรนวมินทร์ โดยคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ เช่น การเป็นย่านที่มีกำลังซื้อ เป็นแหล่งชุมชนเดินทางสะดวกใกล้สิ่งอำนวย ความสะดวก พัฒนาเป็นโครงการที่มีความหลากหลาย 5 โครงการ เนื้อที่รวม 120 ไร่ จำนวนรวม 950 ยูนิต มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น 2 โครงการ ทาวน์โฮม 3 ชั้น บ้านแฝด และบ้านเดี่ยวในระดับราคาต่างกัน ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม อีกทั้งในแง่ของทำเลเด่นติดรถไฟฟ้าทดแทนคอนโดมิเนียม ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายทาวน์โฮมต่างจังหวัดมากขึ้น
ด้านโครงการที่เลื่อนเปิดออกไปในปีนี้ จากปัญหาการที่บริษัทไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ หลังจากที่ผู้อยู่อาศัยเดิมยังไม่ย้ายออก มีจำนวนทั้งสิ้น 6 โครงการ ใน 3 ทำเล ได้แก่ ทำเลย่านแจ้งวัฒนะ 3 โครงการ ทำเลย่านคู้บอน 2 โครงการ เนื้อที่ 70-80 ไร่ และทำเลย่านกัลปพฤกษ์ 1 โครงการ ซึ่งเป็นที่ดินหลายแปลง พื้นที่รวมราว 100 ไร่ ซึ่งโครงการที่เลื่อนเปิดไปในปีนี้คาดว่าจะเปิดอีกครั้งในช่วงปี 61
นายแสนผิน กล่าวต่อว่า แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 32-33% จากปีก่อนที่ 35% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องทำราคาที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้า ทำให้มีมาร์จิ้นที่ลดลง โดยการพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทในปีนี้จะเป็นการเพิ่มโครงการที่ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการทาวน์โฮม ประกอบกับพัฒนาโครงการบ้านแฝดระดับราคา 4-6 ล้านบาท เพื่อทดแทนบ้านในเมือง ราคา 7-10 ล้านบาท ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวจะเน้นทำเลที่ใกล้เมือง และเป็นรูปแบบใหม่ในระดับราคา 20-40 ล้านบาท
ด้านแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาของปีนี้ในทุกโครงการมีการโอนที่ลดลงจากปีก่อนสูงถึง 41% หรือมีจำนวนยูนิตที่โอนรวมในทุกประเภทสินค้าจำนวน 52,097 ยูนิต จาก 5 เดือนแรกของปี 59 ที่ 88,712 ยูนิต โดยโครงการคอนโดมิเนียมมียอดโอนที่ลดลงมากที่สุดโดยลดลง 51% ยอดโอนโครงการทาวน์โฮมลดลง 32% ยอดโอนโครงการบ้านเดี่ยวลดลง 27% และยอดโอนโครงการบ้านแฝดลดลง 15% ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกับช่วง 5 เดือนแรกของปีก่อน ประกอบกับการโอนคอนโดมิเนียมมีจำนวนที่ลดลง หลังผู้ประกอบการต่างชะลอการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดปัญหาซัพพลายล้นตลาดในบางทำเล
ขณะที่ยอดโอนของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกยังเป็นบวกได้ ซึ่งสวนทางกับภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ติดลบ เนื่องจากโครงการของบริษัทที่เน้นโครงการแนวราบและเป็นโครงการทาวน์โฮมส่วนใหญ่ ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อตั้งแต่ช่วงแรกไม่มีการยกเลิกการจอง และมีการโอนตามกำหนดระยะเวลา ประกอบกับลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยบริษัทเป็นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่จริง ไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไร ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่เตรียมรอโอนจาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบัน 4.2 พันล้านบาท ซึ่งช่วยสนับสนุนให้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.2 พันล้านบาท จากรายได้รวมของบริษัทที่ 1.3 พันล้านบาท โดยรายได้อีก 1 พันล้านบาท เป็นรายได้ค่าเช่าอาคารสำนักงานให้เช่า
ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทใช้ไปทั้งหมดแล้วจำนวน 7.8 พันล้านบาท โดยมีการซื้อที่ดินในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 61 บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสการรุกขยายโครงการในพื้นที่ EEC มากขึ้น หลังจากเห็นถึงความต้องการซื้อที่อยุ่อาศัยที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทได้มีการเปิดขายโครงการทาวน์โฮมในอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มาก่อนหน้านี้ และมีแนวโน้มที่จะมีประชากรที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยจังหวัดใน EEC ที่บริษัทสนใจ คือ ชลบุรี และระยอง ซึ่งคาดว่าในปี 61 จะมีการเปิดโครงการในชลบุรี 1 โครงการ และระยอง 2 โครงการ
สำหรับภาพรวมของอสังริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง นายแสนผิน มองว่ามีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้จากช่วงครึ่งปีแรกที่ชะลอตัว จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มเป็นเติบโต 3.5% จากเดิมที่คาดว่าเติบโต 3.4% จากการลงทุนภาครัฐที่จะเริ่มออกมามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง การส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ดี เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจและมีผลต่อกำลังซื้อที่มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ขณะเดียวกันแนวโน้มของหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มที่ลดลงจากประมาณการของธปท.ที่ได้ปรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในปีนี้ลดลงเหลือ78-79% จากเดิมที่ 79-80% จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 79.8% เป็นสัญญาณบวกที่แสดงถึงว่าประชาชนมีความสามารถในการชำระหนี้ได้เพิ่มขึ้นและมีหนี้สินลดลง และส่งผลไปถึงความเข้มงวดของสถาบันการเงินที่อาจจะมีความเข้มงวดลดลงบ้าน โดยอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 30% จากปีก่อนที่ 50% แสดงถึงความสามารถในการกู้ของลุกค้าเพิ่มขึ้นและสถาบันการเงินยังมีความต้องการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้นด้วย