ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ TU ที่ “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 25, 2017 10:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ที่ระดับ “AA-" โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก รวมถึงการมีสินค้าและฐานลูกค้าที่หลากหลาย และตราสัญลักษณ์สินค้าที่เป็นที่รู้จักทั้งในทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ ความเสี่ยงจากโรคระบาดที่เกิดในอุตสาหกรรม ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบทางการค้าและกฎเกณฑ์การจับปลาทั่วโลก

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ก่อตั้งในปี 2520 โดยครอบครัวตระกูลจันศิริ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มผู้ผลิตอาหารทะเลระดับโลก สินค้าของบริษัทครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากปลาทูน่า กุ้ง ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในปี 2559 บริษัทมียอดขายจากผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าคิดเป็น 35% ของยอดขายรวม โดยมีกุ้งแช่แข็งและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมีสัดส่วนรายได้เป็นอันดับ 2 ของยอดขายรวม (28%) รองลงมาคือปลาแซลมอน (10%) ปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล (8%) อาหารสัตว์เลี้ยง (7%) และผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและอื่น ๆ (12%)

บริษัทเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการผลิตประมาณ 290,000 ตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 6 ของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุกระป๋องทั่วโลก บริษัทมีฐานการผลิตใน 6 ประเทศซึ่งครอบคลุม 4 ทวีป โดยฐานการผลิตหลักตั้งอยู่ในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา กาน่า และหมู่เกาะซีเชลส์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีการผลิตในประเทศเวียดนามและปาปัวนิวกินีด้วย ในปี 2559 ตลาดหลักของบริษัทคือประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 39% ของรายได้รวม รองลงมาคือสหภาพยุโรป 33% ประเทศไทย 8% และประเทศญี่ปุ่น 6%

เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโต บริษัทได้ซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลและช่องทางการจัดจำหน่าย โดยการซื้อกิจการที่สำคัญในปี 2559 คือการลงทุนในกิจการ Red Lobster Master Holding, L.P. (Red Lobster) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารซีฟู้ดส์ประเภท Casual Dining ในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจุบัน Red Lobster เป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจร้านอาหาร 704 แห่งในทวีปอเมริกาเหนือและให้สิทธิในการประกอบธุรกิจหรือแฟรนไชส์ (Franchise) อีก 50 แห่งในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก บริษัทลงทุนทั้งสิ้น 575 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 20,125 ล้านบาท) โดยมูลค่าการลงทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินจำนวน 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการลงทุนในสัดส่วน 25% ในหน่วยลงทุนสามัญของ Red Lobster และอีก 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้อายุ 10 ปี ทั้งนี้ หน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้อายุ 10 ปีนั้นสามารถแปลงสภาพเป็นหน่วยลงทุนสามัญได้ 24% ของหน่วยลงทุนสามัญทั้งหมดของ Red Lobster หรือไถ่ถอนในราคาที่ตกลงกันไว้ ณ สิ้นปีที่ 10 การลงทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจสู่กิจการร้านอาหารและเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงได้มากขึ้น และบริษัทจะบันทึกรายได้ดอกเบี้ยจากหน่วยลงทุนดังกล่าวในอัตรา 8% ต่อปี

ในปี 2559 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจึงลดลง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงเหลือ 7.1% ในปี 2559 เทียบกับ 8.3% ในช่วงปีก่อนหน้า กำไรที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนปลาทูน่าที่เป็นวัตถุดิบหลัก ตลอดจนการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาปลาแซลมอนเนื่องจากปัญหาโรคระบาด บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายในปี 2559 อยู่ที่ 10,802 ล้านบาท ลดลงจาก 11,299 ล้านบาทในปี 2558

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 รายได้ของบริษัทเท่ากับ 31,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ภาวะซบเซาของตลาดในทวีปยุโรป ตลอดจนการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรและปอนด์เมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนปลาทูน่าและกุ้งได้ส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทอ่อนตัวลง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงเหลือ 4.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เทียบกับระดับ 6.9% ในช่วงเดียวกันของปี 2559 แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรและดอกเบี้ยรับจากการลงทุนใน Red Lobster จำนวน 224 ล้านบาท แต่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2560 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2,249 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 2,491 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2559

บริษัทมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อลงทุนในกิจการ Red Lobster โดยในช่วงปลายปี 2559 บริษัทได้กู้เงินจำนวน 12,500 ล้านบาทจากธนาคารหลายแห่งรวมทั้งออกหุ้นกู้จำนวน 12,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 บริษัทมีเงินกู้รวม 65,524 ล้านบาทจากระดับ 41,026 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 46.1% ในปี 2558 เป็น 57.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงจาก 23.1% ในปี 2558 มาอยู่ที่ระดับ 13.8% ในปี 2559 และ 13.3% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลงจาก 7.1 เท่าในปี 2558 มาอยู่ที่ระดับ 7.5 เท่าในปี 2559 และ 4.5 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2560

ในช่วงที่เหลือของปี 2560 คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น โดยผลกำไรของบริษัทจะได้รับแรงสนับสนุนจากการปรับราคาของสัญญาขายปลาแซลมอน การลดลงของต้นทุนราคากุ้ง ความสำเร็จที่ต่อเนื่องในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง รวมทั้งรายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม

ในช่วงปี 2560-2562 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 140,000-160,000 ล้านบาท อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะอยู่ที่ระดับ 7.0%-8.5% กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 12,000-15,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 50% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและความมีประสิทธิภาพในการผลิต โดยฐานการผลิตและตลาดส่งออกที่กระจายตัว อีกทั้งสินค้าที่หลากหลายน่าจะช่วยลดความผันผวนของกำไรของบริษัท

ทั้งนี้ โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทมีค่อนข้างจำกัดในระยะสั้นจากสถานะการเงินในปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงกว่าที่คาดไว้จนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดส่วนเกินเพื่อรองรับการชำระหนี้อ่อนแอลงกว่าที่คาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ