นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ลงเหลือ 1,600 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถปรับขึ้นไปได้ถึง 1,650 จุด หลังมองว่าช่วงครึ่งหลังปีนี้ดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,500-1,600 จุดเท่านั้น เนื่องจากคาดว่ากระแสเงินทุน (Fund Flow) จะไม่ไหลเข้า จากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะเติบโตน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมถึงราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยก็สูงกว่าภูมิภาคด้วย
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสีย และด้วยต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ การออกตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ทำให้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นแทน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) หรือการงดจ่ายเงินปันผลเพื่อที่จะรักษาสภาพคล่องของบริษัทไว้ ทำให้ต้องลุ้นว่าบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นจะทำผลประกอบการให้เติบโตทันกับผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น (Dilution Effect) ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่
สำหรับกลุ่มหุ้นที่มองว่ายังมีความน่าสนใจในการลงทุนคือ กลุ่มท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน กลุ่มค้าปลีกและอาหาร ที่ได้รับปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวเติบโต และการบริโภคในประเทศที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มขนส่ง โดยเฉพาะกลุ่มรถไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ ที่เข้ามาสนับสนุนการเติบโต
ส่วนกลุ่มที่ต้องมีความระมัดระวัง คือกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ก่อนหน้านี้มองว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ปัจจุบันมองว่าราคาน้ำมันจะไม่เกิน 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะเดียวกันราคาน้ำมันยังมีความผันผวนค่อนข้างมากอีกด้วย
นายสุกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับค่าเงินบาทในปัจจุบันนับว่าแข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมาก หลังมีเงินทุนส่วนใหญ่ไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ แต่อีกระยะเวลาหนึ่งคาดว่าค่าเงินบาทจะค่อย ๆ อ่อนค่าลงตามกลไกตลาด
ส่วนการลงทุนในทองคำนั้น มองว่าจะยังไม่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันความเสี่ยงต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากกว่า