นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) หรือโฮมโปร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 2,177.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 31,046.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.64% โดยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการขายที่ขยายตัว 2.88% มาที่ 29,072.96 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเติบโตจากสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย
ขณะที่มีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 898.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.32% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้นจากพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเติมของสาขาที่เปิดใหม่ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีก่อน และรายได้อื่นอีกจำนวน 1,074.90 ล้านบาท ลดลง 2.52% จากการปรับแผนเลื่อนกิจกรรมทางตลาดที่ร่วมกับคู่ค้าไปในครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ กำไรขั้นต้น จำนวน 7,559.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.22% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.00% เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing การวางแผนการจัดซื้อสินค้า รวมถึงธุรกิจเมกา โฮม ที่มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นจากการได้ผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 6,621.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.45% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า และค่าเสื่อมราคา อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงจาก 23.10% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.78% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายคุณวุฒิ กล่าวว่า เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากภาคการส่งออก และท่องเที่ยว แต่ราคาพืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน รวมถึงการขาดความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายต่าง ๆ จากภาครัฐเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าทำความเย็น รวมถึงผลกระทบจากการเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกับสาขาเดิม (Cannibalization) ในกรุงเทพฯ จากสาขาพระราม 9 และศรีนครินทร์ ทำให้ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) ของโฮมโปรยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบข้างต้น บริษัทได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น การขยาย HomePro Fair ไปยังหัวเมืองในต่างจังหวัดในไตรมาสที่ 2 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการนำเสนอธุรกิจในรูปแบบใหม่คือ HomePro S เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราการทำกำไรในแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มสินค้า Direct Sourcing การวางแผนการจัดซื้อสินค้า การเพิ่มคุณภาพของสินค้า เป็นต้น รวมถึงการปรับปรุงและควบคุมประสิทธิภาพภายในของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน
สำหรับไตรมาสที่ 2 บริษัทยังคงดำเนินงานตามแผนธุรกิจในระยะยาวที่ได้ตั้งไว้ ได้มีการเปิดสาขาโฮมโปร 2 แห่งที่โลตัสบางแค และ HomePro S ที่เกตเวย์ เอกมัย โดยสิ้นไตรมาสที่ 2 มีสาขาโฮมโปรเปิดดำเนินการทั้งสิ้น 82 สาขา สำหรับธุรกิจเมกา โฮม ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคและฤดูฝนเช่นกัน อย่างไรก็ตามธุรกิจ เมกา โฮม ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนดำเนินการ และได้รับผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น (Economies of scale)
นายคุณวุฒิ กล่าวอีกว่า ด้านธุรกิจโฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซียได้มีการเปิดสาขาอีก 1 แห่งที่ มะละกา (Melaka) โดยมีผลตอบรับอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสิ้นไตรมาสที่ 2 บริษัทมีสาขาของโฮมโปร 82 สาขา 11 สาขาของเมกา โฮม และสาขาโฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซีย 3 สาขาตามลำดับ ซึ่งผลการดำเนินงานในภาพรวมเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้