บมจ.โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PLT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมามีมติอนุมัติให้จัดตั้งโครงการใหม่ (Green Field) ในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ สายการผลิตแผ่นฟิล์ม PET ขนาดกว้าง 10.5 เมตร รวมการดำเนินกิจการในธุรกิจต้นน้ำ (สายการผลิตเม็ดพลาสติก) และการบูรณาการปลายน้ำ (การเคลือบพื้นผิว) และ สายการผลิตแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบาง โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 44,000 ตันต่อปี
ประเภทผลิตภัณฑ์ของสายการผลิตแผ่นฟิล์ม PET ใหม่จะมีความหนา 9-125 ไมครอน มูลค่าการลงทุนทั้งหมดของโครงการคาดว่าประมาณ 95 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับ 3,138 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินลงทุนในโครงการ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบกับ 2,680 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ เทียบเท่า 503 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการภายในระยะเวลา 18 เดือนนับจากการปิดรอบระยะเวลาบัญชี
ประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับคือ บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบางหลักให้กับผู้ผลิตแปรรูปใหญ่ ๆ เกือบทุกรายในตลาดสำคัญของโลก โดยประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญของบริษัท ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาบริษัทได้ให้บริการจากประเทศไทย และเพิ่มเข้าไปเจาะตลาดในอินโดนีเซียให้ลึกมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การริเริ่มโครงการแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบางในประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดประโยชน์แก่บริษัทหลายประการ คือ อุปสงค์สำหรับแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบางในอินโดนีเซียมีอยู่สูง มีอัตราการเติบโตสูง เมื่อมีการจัดตั้งโรงงานในพื้นที่นี้แล้ว PLT สามารถเข้าถึงโอกาสในการเติบโตและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ และ บริษัทอาศัยประสบการณ์ที่มีมายาวนานในการขายในตลาดนี้สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อีก
โครงสร้างต้นทุนที่แข่งขันได้ เนื่องจากสายการผลิตแผ่นฟิล์ม PET ที่ผลิตได้สูงที่สุดในตลาดโลกและผนวกเข้ากับธุรกิจต้นน้ำสายการผลิตเม็ดพลาสติกและการเพิ่มมูลค่าจากธุรกิจปลายน้ำ อีกทั้งการลงทุนนี้จะช่วยส่งเสริมการส่งออกของกลุ่ม
นอกจากนั้น ยังมีข้อได้เปรียบในการเป็นแหล่งที่ตั้งภายในประเทศ โดยพิจารณาว่าจะเป็นการทำธุรกิจในระยะยาว ทั้งนี้เปรียบเทียบกับซัพพลายเออร์ที่อยู่ต่างประเทศ การที่อยู่ใกล้กับลูกค้าจะช่วยลดระยะเวลาตามวัฎจักร ทำให้การส่งสินค้าทำได้รวดเร็วขึ้น และทำให้สร้างข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจนในมุมมองของลูกค้า สามารถหาวัตถุดิบหลัก เช่น PTA และ MEG ได้ในพื้นที่ แหล่งที่ตั้งแห่งใหม่จะยังช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจโดยรวมได้มากขึ้น