ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ที่ระดับ “A"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่าง ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่ช่วยประกันรายได้ของบริษัทในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
PS เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั้นนำของประเทศซึ่งก่อตั้งในปี 2536 โดยนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2548
ภายหลังจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทตามแผนการปรับโครงสร้างกิจการเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน 2559 แล้ว บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 97.9% ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ได้มีการจดทะเบียนหุ้นสามัญของบริษัทพฤกษา โฮลดิ้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนหุ้นสามัญของบริษัทซึ่งถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในคราวเดียวกัน ปัจจุบันครอบครัววิจิตรพงศ์พันธุ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PSH ในสัดส่วน 75% ณ เดือนมิถุนายน 2560
หลังการปรับโครงสร้างกิจการ บริษัทยังคงเน้นการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายโดยที่สินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานทั้งหมดและคณะผู้บริหารหลักยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของกลุ่มบริษัทในช่วงอีกหลายปีข้างหน้า บริษัทจึงถือเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่ม ดังนั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้ โครงสร้างกิจการใหม่ภายใต้ PSH นี้จะทำให้กลุ่มบริษัทมีความคล่องตัวในการขยายไปยังธุรกิจใหม่และเปิดโอกาสในการหาผู้ร่วมทุน
ในช่วงต้นปี 2560 PSH ได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลวิมุตติ อินเตอร์เนชั่นแนล" ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 4,900 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ถึงปี 2562 โดยแหล่งเงินลงทุนจะมาจากเงินกู้ยืม 50% และจากทุนอีก 50% ทั้งนี้ คาดว่าโรงพยาบาลจะเริ่มดำเนินการและมีรายได้เข้ามาในช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัทในอนาคต
บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ เดือนมิถุนายน 2560 เป็นจำนวนมากถึงประมาณ 200 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยทาวน์เฮ้าส์ (คิดเป็น 45% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด) คอนโดมิเนียม (30%) และบ้านเดี่ยว (25%) ที่อยู่อาศัยของบริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มขยายสู่กลุ่มสินค้าในระดับราคาที่สูงขึ้นซึ่งความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้ยังดีอยู่
ยอดขายของบริษัทในปี 2559 เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนเป็น 44,414 ล้านบาท ยอดขายในครึ่งปีแรกของปี 2560 เท่ากับ 26,150 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดขายจากคอนโดมิเนียมเติบโตมากที่สุด ในขณะที่ยอดขายจากทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และโครงการในต่างประเทศลดลง รายได้ในปี 2559 ลดลง 8% จากปีก่อนเป็น 46,926 ล้านบาท รายได้ของบริษัทในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาสูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ รายได้ของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 เท่ากับ 8,072 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ รายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2560 ได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากยอดขายที่รอการส่งมอบมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายรอการส่งมอบที่เหลืออีก 14,000 ล้านบาทนั้นจะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงปี 2561-2562
อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ที่ 20%-21% ในช่วงปี 2555-2558 และลดลงมาเป็น 17% ในปี 2559 และ 13% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นเป็น 39% ณ เดือนธันวาคม 2559 และ 40% ณ เดือนมีนาคม 2560 จาก 42%-49% ในช่วงปี 2555-2558
แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวและมีการแข่งขันรุนแรง แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทและของกลุ่มบริษัทควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ระดับ 27% ในปี 2559 และ 23% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 21,000 ล้านบาท (รวมวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้ซึ่งสามารถเบิกใช้ได้ทันทีประมาณ 10,000 ล้านบาท) ณ เดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 11,000 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอรับรู้รายได้จำนวนมากได้ตามแผนและจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนทั้งของบริษัทและของ PSH ให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50%
แนวโน้มอันดับเครดิตในอนาคตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทเองและสถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัท หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัท ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากการลงทุนในธุรกิจใหม่ของบริษัทโฮลดิ้งส่งผลให้สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทอ่อนแอลง