นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร๊อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มยอดขายขึ้นเป็น 1.4 หมื่นล้านบาท จากเดิม 1.3 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป้ารายได้เป็น 9 พันล้านบาท จากเดิม 6 พันล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือน มิ.ย.60 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่ระดับ 25,285 ล้านบาท ที่ทยอยรับรู้รายได้ 2 ปีครึ่ง ซึ่งเป็น Backlog จากโครงการ PARK24 ของพราวด์ เรสซิเดนซ์ ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท)
นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้จากเดิม 9 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และ บ้านแนวราบที่เป็นโครงการแรกของ ORI อีก 1 โครงการ โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังรวม 8 โครงการ
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/60 บริษัทจะเปิดตัวคอนโดมิเนียม 4 โครงการ รวมมูลค่า 7,400 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Knightsbridge Prime Onnut ,โครงการ Knightsbridge Prime Ratchayothin, โครงการ Knightsbridge Collage-Ramkhamhaeng ซึ่ง 3 โครงการนี้มีมูลค่ารวม 6 พันกว่าล้านบาทจะเริ่มเปิดขายพร้อมกันในวันที่ 16 ก.ย. และอีกโครงการคือ โครงการ Knightsbridge Kaset Society จะเปิดตัวในลำดับต่อไป
ส่วนในไตรมาส 4/60 จะเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม B-loft จำนวน 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว Britania Srinakarin ซึ่งเป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนคาดขายและโอนได้ในปีนี้ราว 100 ล้านบาท
"เราคาดว่ายอดขาย 3 โครงการที่เปิดขายพร้อมกันจะมียอดพรีเซล 50% ของมูลค่าโครงการ และคาดว่าจะมีต่างชาติมาจองซื้อเพิ่มขึ้น เป็น 15-20% จากปกติขายได้ 10% เพราะรอบนี้มีโนมูระฯ เข้ามาช่วยขายให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นด้วย"นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ คาดว่าในช่วง 5 ปี (61-65) รายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปที่กว่า 3 หมื่นล้านบาทในปี 65 โดยในปี 61 คาดว่าจะมีรายได้ 1.4 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 50% จากปี 60 และในปี 62 รายได้จะเติบโตเป็น 1.75 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 30% มาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า
รวมทั้งบริษัทมี Backlog รองรับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากโครงการ PARK24 ที่จะรับรู้ในปลายปี 61 และปี 62 ราว 5,500 ล้านบาท และ 5,600 ล้านบาท ตามลำดับ จากปี 60 รับรู้รายได้จาก Backlog จากโครงการ PARK24 จำนวน 5,900 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงการของ ORI ในศรีราชา จ.ชลบุรี ยังจะได้ประโยชน์จากนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีมูลค่ารวม 12,130 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ รวมมุลค่า 4,830 ล้านบาท เริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/60 และเป็นโรงแรม Holiday Inn&Suite ขนาด 347 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท คาดสร้างเสร็จปี 62, เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ Hampton Sriacha สูง 42 ชั้น มูลค่า 2,800 ล้านบาท และ โครงการ Mix Used ในจะ.ระยอง มูลค่า 2 พันล้านบาท
"พอร์ตของออริจิ้นภายใน 5 ปี จะมีหลากหลาย ได้แก่ คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ มอลล์ และจะเพิ่มการลงทุนโลจิสติกส์ อย่างเช่น warehouse และก็ยังมี service ที่จะเป็นการบริการหลักการขาย มี แอพพลิเคชั่น Origin"นายพีระพงศ์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI คาดว่าสัดส่วนรายได้ของบริษัทในช่วง 5 ปีจะปรับลดรายได้จากคอนโดมิเนียมลงมาเป็น 80% จากปัจจุบัน 99% และอีก 20% จะมาจากอสังหาริมทรัพย์อื่น อาทิ เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ โรงแรม ที่จะให้รายได้ประจำเข้ามาเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ORI ยังได้มองหาทำเลสร้าง Office Building ขนาดกลาง ที่ไม่ต้องใช้เนื้อที่มาก หรือใช้ประมาณ 400 ตารางวา สร้างตึกสูง 8-10 ชั้น และมีที่จอดรถในตัว รวมทั้งจะเพิ่มการลงทุนโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์เม้นท์อีกหลายแห่ง ทั้งนี้ เงินลงทุนจะนำมาจากกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน โดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)ที่ 1.5 เท่า นายพีระพงศ์ กล่าวถึงการร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (NRED) ซึ่งเป็น TOP3 ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นว่า จะช่วยให้บริษัทได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านโนว์ฮาว นวัตกรรม และดีไซน์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญช่วยให้บริษัทสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โนมูระ ได้ลงทุนผ่านบริษัทย่อย 4 แห่งของบริษัท โดยได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนและเข้าถือในสัดส่วน 49% รวมเป็นเงิน 1,070 ล้านบาท ซึ่งจะมีการโอนเข้ามาในเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งจะบันทึกในงบไตรมาส 3/60 มีส่วนช่วยให้กำไรในไตรมาส 3/60 โตขึ้นมากกว่าไตรมาสอื่น
สำหรับ NRED ปัจจุบันมีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว 2.ธุรกิจจัดหาสำนักงานให้เช่า 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโลจิสติกส์ และ 5.ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขาย การซื้อ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ณ 1 เม.ย.60) จำนวน 2,000 ล้านเยน (ราว 600 ล้านบาท) มีรายได้จากการดำเนินการในปีงบประมาณล่าสุด (1 เม.ย.59-31 มี.ค.60) จำนวน 4.01 แสนล้านเยน (ราว 1.2 แสนล้านบาท)
"เราอยากทำอสังหาริทรัพย์ครบวงจร เราขาดตัวโลจิสติกส์ เราจะเรียนลัดกับโนมูระฯ ซึ่งเขาก่อตั้งมา 60 ปีแล้วเขาก็เติบโตจากในเมืองเหมือนกับเรา เราจะเดินตามรอยเขา เขามีประสบการณ์ที่จะแนะนำเราได้ดี และจะทำแบรนด์ใหม่ด้วยกัน ทั้งนี้ เราได้เริ่มคุยกับโนมูระเมือต้นปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าน็ก็มีคนเข้ามคุย 10 ราย ทั้งฮ่ององ สิงคโปร์ ไต้หวัน จีน กลุ่มทุนพวกนี้ เขามองว่าไทยมีข้อดีที่เป็นศูนย์กลางภูมิภาค การมี EEC ทำให้ Developper ให้ความสนใจไทยอย่างมาก"นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ORI จะออกแคมปญพิเศษ "My Life My Origin" นำโครงการที่เปิดขายอยู่แล้ว 10 โครงการให้ผู้ซื้ออยู่ฟรี 3 ปี โดยทาง ORI เป็นผู้ผ่อนให้ก่อน ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นตลาด เร่งการตัดสินใจผู้บริโภคจากปัจจุบันมีการชะลอตัว เพราะลังเลการตัดสินใจไม่ได้ แก้ปัญหาเรื่องการปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7-8% โดยจะออกพร้อมมหกรรม Home Buyer ในเดือน ส.ค.นี้ และจะจัดอีกครั้งพร้อมงานขาย 3 โครงการใหม่ในเดือน ก.ย.นี้