นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนและวิธีจัดการกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทยว่า KTAM มองตลาดทุนไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จะเห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ออกมาใกล้เคียงกับประมาณการ สะท้อนต่อตลาดทุนไทยปรับตัวดีขึ้น ขณะที่มองแน้วโน้มต่อไปข้างหน้า ยังเชื่อว่าตลาดทุนไทยน่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แม้อาจจะมีผลกระทบให้ชะลอตัวบ้างในบางอุตสาหกรรม แต่บริษัทจดทะเบียนไทยน่าจะปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆได้ โดยมองการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปีนี้ไว้ที่ บวกลบ 10%
ทั้งนี้ กองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย ถือว่าเป็นกองทุนที่มีความน่าสนใจ โดบ KTAM จะเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และขนาดปานกลาง ซึ่งมีแรงต้านทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจสูง และมี valuation ให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนสุดสุงได้ในขณะนั้น และมีการเติบโตที่ดีในอนาคต
"เรามองว่ากองทุนนี้มีความหมาย เพราะเป็นตัวกลั่นกรองบริษัทที่เข้าสู่โหมดที่มีการพัฒนาไปในระดับหนึ่ง โดยวัตถุประสงค์ของเรา คือต้องการผลตอบแทนสูงสุดให้กับนักลงทุน และเรายังหวังสร้างประโยชน์กับสังคม โดยเราจะลงทุนในลักษณะที่ active ซึ่งเป็นหุ้นที่ให้ผลประโยชน์ในเวลานั้นดีที่สุด"นางชวินดา กล่าว
นางสาวศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี (KSAM) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจหลักอย่าง สหรัฐ,ยุโรป ส่งผลให้การค้าโลกดีขึ้น เห็นได้จากภาคการส่งออกของไทยที่ปรับตัวดีขึ้น และภาคเกษตรกรไทยดีขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว โดยในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทย ก็มีการเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้น ขณะที่มองตลาดทุนไทยก็น่าจะไปต่อได้
นอกจากนี้การบริหารกองทุนของ บลจ.กรุงศรี จะเป็นวิธีที่ใช้อยู่แล้ว คือ การวิเคราะห์เชิงปริมาณ ในการดูงบการเงินของบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดี และดูคุณภาพบริษัทในเรื่องของการเติบโตอย่างยั่งยืน, วิสัยทัศน์ของบริษัท รวมถึงเรื่องของธรรมาภิบาล
ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรี คาดว่าจะออกกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทยได้ในช่วงปลายเดือน ส.ค.ถึงต้นเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งน่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีต่อนักลงทุนพอสมควร เนื่องด้วยหุ้นน่าจะให้ performance ที่ดีในระยะยาว และเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม เช่น เรื่องของคอรัปชั่น , ธรรมาภิบาล
นางสาวอารยา ธีระโกเมน กรรมการอำนวยการ บลจ.ทิสโก้ (TISCO) กล่าวว่า มองการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร หรือ Aging Society ว่าเป็นโอกาส ทั้งในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุ ที่เริ่มมองหาซื้อรถยนต์ หรือการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่กลุ่มวัยทำงานก็เริ่มมีการวางแผนเพื่อการเกษียณมากขึ้น และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาก็น่าจะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในตลาดฯเกิดขึ้น และบริษัทจดทะเบียนไทยก็เชื่อว่าน่าจะมีการปรับตัว
ขณะที่บลจ.ทิสโก้ มีการเน้นในเรื่องของธรรมาภิบาลมาโดยตลอด โดยการบริหารกองทุนจะเป็นลักษณะ AC ด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คือสร้างผลตอบแทนที่ดี ในระยะยาว เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทที่อยู่ในกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทยน่าจะให้ผลตอบแทนและเติบโตในระยะยาว
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กล่าวว่า การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในช่วงที่เหลือของปีหน้าจะเติบโตไปได้ ซึ่งที่ผ่านมาการเติบโตมีอัตราถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับการเติบโตของ GDP และ บลจ.ไทยเข้าซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราว 47,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยที่เติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่เรื่องของ Aging Society มองว่าคนไทยต้องเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและสร้างรายได้
สำหรับกองทุนธรรมาภิบาลนี้จะมีการกระจายออกไปในหลายกลุ่ม เน้นความยั่งยื่นต่อเนื่องของหลักทรัพย์ที่ลงทุน การมีธรรมาภิบาลของกรรมการ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบริษัทและเป็นจุดเด่นของกอง CG นี้
นายพีระพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง (BBLAM) กล่าวว่า มองการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ 8-10% จากเศรษฐกิจที่มีการเติบโต ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนได้มองหาการลงทุน โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งต้องมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์กับกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น เช่น ออนไลน์ช้อปปิ้ง ,โรบอท แม่บ้านเหล็กช่วยทำความสะอาด หรือมีอินโนเวชั่นที่จะเข้ามาตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามก็ต้องมองปัจจัยความเสี่ยงควบคู่กับโอกาสไปด้วย
บลจ.บัวหลวงเตรียมออกกองทุนรวมธรรมาธิบาลไทยได้ในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ โดยกลยุทธ์การบริหารกองทุนดังกล่าวจะใช้เกณฑ์การให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ 3% ขึ้นไป และดูเกณฑ์ CG Rating 4 ดาวขึ้นไป รวมถึงการมีแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Collective Action Coalition Against Corruption หรือ CAC) ทุกรูปแบบทั้งภายในและภายนอก
นายชาคริต พืชพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า เครื่องจักรที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือ จะประกอบด้วยกัน 2 ด้าน คือ การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐ ซึ่งมองครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก ขณะที่การเข้าสู่สังคม Aging Society เชื่อว่าโอกาสต่างๆที่จะเกิดขึ้นยังมีอีกมาก เช่น ที่อยู่อาศัย ,การใช้เทคโนโลยี น่าจะมีบทบาทมากขึ้นในระยะถัดไป เช่น สมาร์ทโฮม เป็นต้น
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า มองโอกาสการลงทุนทางธุรกิจ เพื่อที่จะตอบโจทย์ Aging Society โดยดึงให้ผู้สูงอายุเข้ามาลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดตราสารหนี้ และกระจายความเสี่ยงของการลงทุนให้ได้มากที่สุด ให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย จะออกผลิตภัณฑ์ที่จะอิงไปกับความต้องการของผู้ลงทุน เช่น ผู้ลงทุนให้น้ำหนักไปในทาง Sustainability หรือผู้ลงทุนให้น้ำหนักไปในทางผลตอบแทน ก็สามารถเป็นไปได้ทุกรูปแบบ
นายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า มั่นใจเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังจะมีการเติบโตในระดับ 3.5-3.6% จากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น การท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐ ที่จะนำไปสู่การลงทุนภาคเอกชนให้ปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่มองตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยคาด EPS บริษัทจดทะเบียนไทยในปี 61 จะเติบโตได้ 10% บวกลบ และการลงทุนในบริษัทที่มีธรรมาภิบาลน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
พร้อมกันนี้กลยุทธ์ในการลงทุนของกองทุนรวมธรรมาภิบาลจะมองบริษัทที่มีรายชื่ออยู่ใน CG ,CAC ซึ่งมีมูลค่าให้สามารถเข้าไปลงทุนได้ และน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี และปีหน้ามีโอกาสที่ EPS จะเติบโตได้ราว 10% ยังมีอัพไซต์ของตลาดที่มีความน่าสนใจในการลงทุน ประกอบกับบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งในระยะกลางถึงยาว การลงทุนในบริษัทดังกล่าวน่าจะให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืน
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส กล่าวว่า บลจ.ทาลิส จะเน้นการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก โดยมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนในระดับ 12% ต่อปี ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมองต่อจากนี้ผลตอบแทนน่าจะลดลง จากการเติบโต GDP ปรับตัวลงมาอยู่ราว 3-4% ทำให้ค่าเฉลี่ยการลงทุนในหุ้นต่อไปนี้จะอยู่ประมาณ 8-10% ในอนาคต
อย่างไรก็ตามมองปีนี้การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทยยังเติบโตดีอยู่ และ GDP ยังเติบโตได้ราว 3.5% ซึ่งเชื่อว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนไทยในอัตรา 10% ก็น่าจะเป็นไปได้ในระยะยาว โดยการบริหารจัดการกองทุนน่าจะใช้ความรู้ความสามารถในการเลือกหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้ายังมีการเติบโตที่ดีอยู่ ตามประมาณการ GDP ของธนาคารกลางแห่งประเทศไทย จากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่การลงทุนในตลาดทุนไทยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า จะเห็นได้จากครึ่งปีแรกต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นพอสมควร สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย โดยบริษัทที่เป็น CG หรือมีธรรมาภิบาล จากการศึกษามาพบว่า บริษัทเหล่านี้สามารถผ่านวิกฤตไปได้ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่มี CG
โดยกองทุนเปิดทหารไทยธรรมาภิบาลจะเปิดขายได้ปลายเดือนก.ย.นี้ ซึ่งในหุ้น 103 บริษัท จะคัดเลือกเหลือเพียง 25-40 บริษัท โดยจะเป็นหุ้นที่ดี , P/E ไม่สูง เกินไป และหลังจากนี้ยังมองโอกาสที่จะเปิดให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยในอนาคต
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร CIO บลจ.บางกอกแคปปิตอล กล่าวว่า กองทุนที่จะออกจะมีความแตกต่างจากบลจ.อื่นๆ ซึ่งบลจ.บางกอกแคปปิตอลจะออกมาในรูปแบบ exchange-traded fund (ETF) ซึ่งจะคัดกรองหุ้นที่มีมาตรฐาน CG โดยมองหุ้นที่มีขนาดกลาง และขนาดเล็ก เนื่องจากเชื่อว่าหุ้นกลางและเล็กจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และมองว่าการผลักดันของหุ้นขึ้นมาให้ได้มาตรฐาน CG 4 ดาว ถือว่าเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักเท่ากับหุ้นใหญ่