บมจ.พริมา มารีน (PRM) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในราวเดือน ก.ย.นี้ โดยมี บล.กสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
PRM เป็นผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีทางเรืออย่างครบวงจรซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ คือ บริษัท นทลิน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 45.05% ใน บมจ.ซีออยล์ (SEAOIL) เช่นกัน
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRM กล่าวว่า หุ้นที่จะเสนอขาย IPO คิดเป็น 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ Austin Asset Limited จำนวน 105 ล้านหุ้น และบริษัท นทลิน จำกัด 45 ล้านหุ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปขยายกองเรือ โดยมีเป้าหมายในปี 63 จะมีกองเรือทั้งสิ้น 40 ลำ จากปัจจุบัน 32 ลำ โดยในปี 60-62 ธุรกิจขนส่งน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลว จะลงทุนเรือขนส่งขนาดบรรทุก 3,000-10,000 DWT 9 ลำ มูลค่า 2,340 ล้านบาท คาดรองรับปริมาณขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 3,800 ล้านลิตร/ปี และลงทุนเรือขนส่งขนาดใหญ่ 11 ลำ ขนาดประมาณ 14,000 DWT เรือ MR เรือ LR เรือ Aframax และเรือ VLCC เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจขนส่ง รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มูลค่ารวมประมาณ 6,890 ล้านบาท คาดจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งอีก 16,700 ล้านลิตร/ปี
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU) เพื่อเพิ่มการกักเก็บน้ำมันอีก 4 ลำ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพิจารณาการลงทุนเรือขนส่ง และจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่งขุดเจาะน้ำมัน (เรือ FSO) ประมาณ 2 ลำ มูลค่ารวม 1,090 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจการปฏิบัติงานการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบกลางทะเลทั้งในน่านน้ำไทยและประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับแผนการลงทุนนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ขยายตลาดเรือขนส่งสินค้าปิโตรเคมีซึ่งมีโอกาสเติบโตสูง รวมถึงขยายขอบเขตการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังเส้นทางการเดินเรือใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เส้นทางไทย-เมียนมาร์ ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ตลอดจนการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะฐานลูกค้าในประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีโอกาสเติบโตสูง
พร้อมกันนี้ บริษัทจะนำเงินที่ไปใช้คืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินส่วนหนึ่ง จากปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2.3 เท่า และภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะส่งผลให้ D/E ลดลงต่ำกว่า 1 เท่า โดยระยะยาวบริษัทมีนโยบายจะรักษาระดับ D/E ไม่ให้เกิน 1.5 เท่า
สำหรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่าปี 59 ที่มีรายได้ 4,296 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU 47.1% ธุรกืจเรือขนส่งฯ 34.2% ธุรกิจเรือ Offshore 12.2% ธุรกิจบริหารเรือ 6.5% ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดคือ ธุรกิจบริหารเรือ อยู่ที่ 85% และธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU 55%
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า PRM เตรียมเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุนในประเทศ (โรดโชว์) ซึ่งมอง PRM เป็นบริษัทผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไรสุทธิ จากความต้องการใช้เรือขนส่งยังคงเพิ่มขึ้น คาดว่าน่าจะได้รับความสนใจแก่นักลงทุนมากพอสมควร