นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) กล่าวว่า บริษัทได้วางแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมแผนการเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี ทำให้มั่นใจว่าจะมีรายได้ทะลุเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท ในปี 62 จากคาดการณ์รายได้ 14,800 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามการเปิดโครงการเพื่อขายต่อเนื่อง รวมถึงการขยายธุรกิจใหม่ และลงทุนใน platform เรื่องบริการหลังการขาย
สำหรับทั้งปี 60 ยังคงมั่นใจว่าทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ 16,000 ล้านบาท หลังในช่วงครึ่งปีแรกมียอดขายรวม 7,493 ล้านบาท เติบโต 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลตอบรับที่ดีจากยอดขายแนวราบ 4,491 ล้านบาท เติบโต 14% กับยอดขายคอนโดมิเนียม 3,002 ล้านบาท เติบโต 137% ขณะที่การตลาดโดยใช้สื่อออนไลน์นับว่ามีประสิทธิภาพสูง ซึ่งพบว่าในครึ่งปีแรกโครงการแนวราบได้รับยอด walk-in จากสื่อประเภทนี้ถึง 30% ทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดลูกค้าแวะต่อคนลดลง 5 เท่าจาก Traditional media ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการตลาดต่อยอดขายลดลง
ส่วนแผนงานในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ล้านบาท ซึ่งปลายปีจะเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ เวิร์ฟ (Verve) ทาวน์โฮม 2 ชั้น เริ่ม 2.59 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ทั้งหมดแบ่งเป็น 5 แบรนด์ ได้แก่ The Gentry โครงการเดอะ เจนทริ พระราม 9 เริ่ม 30 ล้านบาท , Bangkok Boulevard ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต สาทร-ราชพฤกษ์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ แจ้งวัฒนะ และสาทร-ปิ่นเกล้า เริ่ม 6-20 ล้านบาท , Pave โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน เริ่ม 4 ล้านต้น, Work Place โครงการเวิร์คเพลส แจ้งวัฒนะ เริ่ม 9 ล้านบาท และ Verve โครงการเวิร์ฟ เพชรเกษม 81 เริ่ม 2.59 ล้านบาท
ส่งผลให้ปีนี้ บริษัทมีโครงการเพื่อขายทั้งหมด 44 โครงการ มูลค่า 44,135 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการระหว่างการพัฒนา จำนวน 35 โครงการ พร้อมกับอีก 9 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 9,100 ล้านบาท
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า แนวโน้มยอดโอนในครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่าจะสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก แม้ว่าในครึ่งปีแรกที่ผ่านมายอดโอนจะยังมีแนวโน้มการเติบโต แต่การเติบโตนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการโอนโครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีแรกเกิดการชะลอตัว เพราะการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินใช้ระยะเวลาที่นานกว่าปกติ ทำให้การโอนโครงการแนวราบโอนได้ค่อนข้างช้า แต่การโอนเชื่อว่าจะมากระจุกตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่ 1 โครงการ ที่จะเตรียมการโอนในช่วงไตรมาส 4/60 เข้ามาสนับสนุน โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังราว 30% ซึ่งทำให้มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนี้ปัจจุบันบริษัทยังมีสินค้าพร้อมโอน (สต็อก) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น จากโครงการแนวราบประมาณ 3,000 ล้านบาท และจากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ทันทีหลังการขาย
ส่วนงบซื้อที่ดินปีนี้ที่ตั้งไว้ระดับ 9,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 30% โดยการซื้อที่ดินตามงบที่ตั้งไว้จะสามารถรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 61-62 ซึ่งสามารถพัฒนาโครงการใหม่ได้ราว 20-30 โครงการ และมูลค่าขายโครงการ 25,000-28,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการสร้างยอดขายและสร้างรายได้ในอนาคต โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากกระแสเงินสด การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2/60 อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.5 เท่า และบริษัทมีนโยบายควบคุม D/E ไม่ให้เกินที่ระดับ 2 เท่า
นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะออกหุ้นกู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 3,400 ล้านบาท รวมมูลค่าการออกหุ้นกู้ในปัจจุบันที่บริษัทออกหุ้นกู้แล้ว 9,500 ล้านบาท จากที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้ประกาศยุทธศาสตร์เรื่อง human-centric innovation เมื่อตอนต้นปี ก็มีการขยายธุรกิจใหม่และลงทุนใน platform เรื่องบริการหลังการขายกับ tech startup “Fixzy" แผนครึ่งปีหลังจึงดำเนินตามยุทธศาสตร์ ในการร่วมพัฒนา iOT smarthome platform ชื่อ "Rue Jai" (รู้ใจ) สำหรับลูกค้า SC ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ AIS ให้เป็น smarthome platform ที่พัฒนาโดยคนไทย และเพื่อคนไทย พร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
SC 4.0 housing prototypes ได้มีการใช้ design thinking ในการออกแบบ prototype สำหรับบ้านคอนเซปท์ในอนาคต โดยจะเริ่มเปิดตัวในโครงการต่างๆ ในช่วงไตรมาส 4/60
นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปีนี้เติบโต 3.5% จากเดิมคาดโต 3.2% เป็นผลจากการลงทุนภาครัฐ รวมถึงภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนภาคลงทุนเอกชนและการบริโภคนั้นยังคงไม่เติบโตเท่าที่ควร และสถานการณ์หนี้ยังมีความน่ากังวล ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ณ ปลายไตรมาส 1/60 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงเหลือ 78.6% แต่สินเชื่อกลุ่มที่อยู่อาศัยขยายตัวแบบชะลอตัว สวนทางกับสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบ้านพักอาศัย (housing NPL) ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3.23% ส่งผลต่อความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไม่สามารถวางแผนการใช้เงินอนาคต
อย่างไรก็ตามบริษัทมียอดปฏิเสธสินเชื่อธนาคารเฉพาะแนวราบในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สัดส่วนใกล้เคียงเดิมที่ประมาณ 10% โดยสัดส่วนการชำระเงินสดโดยเฉพาะในกลุ่ม luxury segment สูงถึง 50% สูงกว่าปีที่ผ่านมา สรุปได้ว่าความต้องการในตลาดยังมีการเติบโต แต่สถานการณ์ของหนี้ทำให้ความสามารถในการใช้เงินอนาคตน้อยลง จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เงินปัจจุบันมากขึ้น
"อัตราการปฏิเสธสินเชื่อบริษัทยังมีความกังวลที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ 10% แม้ว่าปัจจุบันบริษัทได้ข้อมูลจากธนาคารกสิกรไทย และธนากรุงเทพ พบว่ามียอดปฏิเสธสินเชื่อลดลงมาอยู่ที่ 30-40% จากสิ้นปีก่อนที่ 40-45% เนื่องจากความสามารถการก่อหนี้ใหม่ของบุคคลลดลง ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปัจจุบันอยู่ที่ 3.23% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ทำให้บริษัทมองว่าธนาคารยังคงมีการควบคุมการพิจารณาสินเชื่อที่ค่อนข้างเข้มงวดอยู่ และปัจจัยดังกล่าวมองว่าเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้จะเติบโตได้เพียงเล็กน้อย"นายณัฐพงศ์ กล่าว