นายไพบูลย์ เทพเลิศบุญ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและวางแผนธุรกิจ บริษัท พีทีที เอ็นเนอร์ยี่ รีซอร์สเซส จำกัด ซึ่งดูแลธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียของกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรปีนี้ที่ระดับ 60 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระดับ 7-8 ล้านเหรียญสหรัฐในปีก่อน หลังราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้นจาก 50-60 เหรียญสหรัฐ/ตันในปี 59 และสามารถบริหารจัดการต้นทุนให้ลดต่ำลง โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ทำกำไรได้ตามเป้า
ขณะที่วางแผนการผลิตถ่านหินในปีนี้ระดับ 7-8 ล้านตัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 7.5-8.5 ล้านตันในปีหน้า ซึ่งเป็นการผลิตจาก 2 เหมืองที่มีอยู่ในอินโดนีเซีย หลังจากที่เหมือง Sebuku ซึ่งเป็นเหมืองขนาดเล็กได้หยุดผลิตไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ เพราะปัญหาทางเทคนิคทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงนั้น คาดว่าจะกลับมาผลิตในช่วงปลายปีนี้ในระดับ 5 แสนตัน/ปี ขณะที่เหมือง Jembayan ซึ่งเป็นเหมืองขนาดใหญ่ยังคงมีการผลิตอยู่ในระดับ 7-8 ล้านตัน/ปี
"ตอนนี้เราพยายามไม่เน้นปริมาณ เราเน้นการทำกำไรมากกว่า ซึ่งเรากำลังทำแผนเรื่องการลดต้นทุนตัวเลขยังไม่นิ่ง แต่ในช่วงประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมาเราลดต้นทุนไปได้ถึง 40% เหลือระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตอนนี้ตลาด future ยังมองราคาถ่านหินกันที่ 70-80 เหรียญสหรัฐ/ตัน"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทขายถ่านหินจากอินโดนีเซียไปในตลาดญี่ปุ่นและไต้หวันเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งมีการขายตลาดจรไปในจีนและในไทยบ้างเล็กน้อย เนื่องจากการใช้ในไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ไทยยังไม่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทยังไม่ได้รุกตลาดมากนัก
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท.ยังให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนธุรกิจไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในอินโดนีเซียด้วย แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องนโยบายของ ปตท.ที่จะยังไม่พิจารณาการลงทุนใหม่ในอินโดนีเซีย หลังมีประเด็นการฟ้องร้องคดีของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ทำให้การลงทุนใหม่จะยังไม่เกิดขึ้น แต่ในส่วนเหมืองถ่านหินที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด