นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมในปี 60 จะขยายตัวจากปีก่อนที่มีรายได้ 560.79 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ระดับ 3.5-3.7% ในปีนี้หลังรัฐบาลเข้ามาช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจด้วยการโครงการต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เชื่อว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้บริษัทต่างชาติมาลงทุนมากขึ้น
บริษัทวางเป้าหมายการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการเติบโตของภาวะอุตสาหกรรมและการเติบโตในการดำเนินธุรกิจ โดยยังคงมุ่งเน้นเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจัดจำหน่ายในปัจจุบันทั้งอุตสาหกรรมในประเทศ และตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น รวมถึงขยายฐานการจำหน่ายไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศในกลุ่ม CMV รวมถึงออสเตรเลีย และยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตของตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ พร้อมทั้งปรับปรุงห้องปฏิบัติการ เครื่องมือและอุปกรณ์ในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงพัฒนาบุคลากร เพื่อเพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ทันสมัย
แนวโน้มอุตสาหกรรมในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มเติบโตดี ตามเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณว่ามีการเติบโตดีขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการลงทุน อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนอื่นๆ น่าจะเป็นส่วนช่วยให้สามารถดึงเม็ดเงินจากประเทศให้เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะประเทศ CLMV
ส่วนแผนธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทจะผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt (Hot Melt Adhesive) หรือกาวร้อน เป็นกาวเทอร์โมพลาสติก เพราะสินค้ามีความโดดเด่น และสามารถแข่งขันกับสินค้าที่มาจากต่างประเทศได้ โดยเน้นไปที่ตลาด CLMV เพราะมีโอกาสทางการตลาด และแนวโน้มการเจริญเติบโตในประเทศกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.60) บริษัทมีรายได้รวม 283.35 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 12.41 ล้านบาท โดยผลประกอบการไตรมาส 2/60 มีรายได้ 144.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้ 138.90 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้
นายเอก มองว่าเทรนด์ปีนี้มีสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น และบริษัทยังมั่นใจในคุณภาพกาวซีลิคได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งบริษัทได้ขยายตลาดต่างประเทศ โดยการขยายยอดส่งออก และพบว่ายอดส่งออกเพิ่มขึ้น 4.32% จากเดิมที่ 112.99 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็น 117.88 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทยังขยายตลาดภายในประเทศ โดยเน้นการแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายด้วย
รวมทั้งบริษัทสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทมีการลดการใช้วงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมประเภทเบิกเงินเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน Letter of Credit ที่ลดลงอย่างมาก
ล่าสุดบริษัทได้รับตราสัญลักษณ์ T Mark เพื่อการันตีคุณภาพสุดยอดผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยในโครงการ “Thailand Trust Mark" จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้มีสิทธิในการใช้ตราสัญลักษณ์คุณภาพไทยแลนด์บนสินค้าและบรรจุภัณฑ์ รวมถึงได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในสื่อต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ
ประกอบกับ จะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพการส่งออกเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้ส่งออก พร้อมกันนี้ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของตราสินค้า และความน่าเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าทั้งจากผู้บริโภคภายในประเทศ และ ต่างประเทศ รวมทั้งบริษัทยังได้รับการพิจารณาเข้าร่วมการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นลำดับแรก อาทิ การจัด In-store Promotion ร่วมกับห้างสรรพสินค้าในต่างประเทศ คณะผู้แทนการค้าระดับสูงเยือนต่างประเทศ (Goodwill Mission) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ