นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์องค์กร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรกที่สินเชื่อเติบโต 3.9% จากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันธนาคารยังมีความพยายามที่จะผลักดันการเติบโตของสินเชื่อลูกค้าเอสเอ็มอีให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะหนุนสินเชื่อรวมในปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 8-10%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสินเชื่อรวมจะขยายตัวได้มากขึ้น แต่ในแง่ของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อาจลดลงมาอยู่ที่ 3.1-3.2% จากต้นปีอยู่ที่ 3.2-3.3% เนื่องจากในช่วงไตรมาส 2/60 ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25-0.50% ซึ่งเป็นการปรับตามทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม ส่งผลให้ภาพรวมของ NIM ในปีนี้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงต้นปี
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในปีนี้ธนาคารได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตเป็น 20-30% จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 10-20% จากการที่ธนาคารได้เซ็นสัญญาในการให้ FWD ขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านช่องทางของธนาคาร ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนงานด้านการขายผลิตภัณฑ์ผ่านธนาคาร (Bancassurance) ให้สามารถเติบโตได้ ซึ่งธนาคารตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนของ Bancassurance ในปีนี้เติบโต 10% ขณะที่รายได้จากการขายกองทุนรวมผ่านช่องทางธนาคารในปีนี้ยังมองว่าเติบโตได้ 98% ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารในปีนี้สามารถเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ธนาคารมองว่าจะควบคุมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2.5% จากครึ่งปีแรกที่อยู่ที่ระดับ 2.56% โดยมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะมีบางช่วงที่ NPL ขยับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งกล่มลูกค้าที่ธนาคารมองว่ามีความน่าเป็นห่วงที่ NPL จะเพิ่มขึ้น คือ กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบในแง่ของการดำเนินธุรกิจที่ยังเผชิญกับความยากลำบาก จากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ซึ่งจะทำให้ NPL ของกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอียังคงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงมีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้วิธีการ Write-off ซึ่งสามารถช่วยควบคุมระดับ NPL ให้อยู่ในระดับที่ต้องการควบคุมไว้ ส่วนการตั้งสำรองฯในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงจากช่วงครึ่งปีแรก เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของ NPL อีกทั้งเพื่อเป็นการรองรับการขยายสินเชื่อในปีนี้และปีหน้า โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้ระดับ Coverage Ratio ของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 150% จากครึ่งปีแรกที่ 140%
ด้านสภาพคล่องของธนาคารในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง แต่การที่ธนาคารได้เซ็นสัญญาการขายผลิตภัณฑ์ประกันกับ FWD ระยะเวลา 15 ปี ทำให้ปัจจุบันธนาคารไม่จำเป็นที่จะต้องเน้นการระดมเงินฝากของกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากเหมือนกับที่ผ่านมา ทำให้แรงกดดันในการระดมเงินฝากลดลง และธนาคารได้นำทีมงานไปรุกการให้บริการเงินฝากประเภทที่มีการทำธุรกรรม (Transactional Account) มากขึ้น ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการขยายฐานด้านเงินฝากของธนาคาร และธนาคารได้ปรับลดการเติบโตของเงินฝากในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่โต 5-7% จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 8-10%
“ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะสินเชื่อมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและรายใหญ่ อีกทั้งเราจะผลักดันให้สินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีกลับมาขยายตัวได้ ส่วนผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ถ้ามองจากกำไรก่อนการตั้งสำรองฯก็คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่เติบโตได้จากปีก่อน เพราะสินเชื่อที่ขยายตัวขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหนุน"นายเบญจรงค์ กล่าว