นายวิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) (MGT) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการธุรกิจเกี่ยวเนื่องในประเทศ ซึ่งมีความสนใจอยู่ 1 ราย และเตรียมเข้าเจรจากับธุรกิจดังกล่าว คาดว่าจะใช้เงินซื้อกิจการในครั้งนี้ในระดับหลักร้อยล้านบาท
บริษัทเชื่อว่าการซื้อกิจการดังกล่าวเข้ามาจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดผลิตภัณฑ์ ตลอดจนเสริมศักยภาพของการเติบโตของบริษัทในอนาคต นอกจากนี้ยังจะช่วยรองรับการทำธุรกิจในประเทศที่จะมีทิศทางดีขึ้น เพราะหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงจะทำให้การลงทุนต่าง ๆ เริ่มกลับเข้ามา และสนับสนุนให้ความต้องการใช้เคมีภัณฑ์มากขึ้นตามไปด้วย จากปัจจุบันความต้องการใช้เคมีภัณฑ์ในประเทศเกิดการชะลอตัว
สำหรับงบลงทุนที่บริษัทจะใช้ในการซื้อกิจการนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทยังมีความสามารถในการกู้ยืมระดับที่สูง เพราะมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ค่อนข้างต่ำที่ 0.8 เท่า รวมถึงยังมีเงินจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ยังมีเหลืออีกบางส่วน และกระแสเงินสดของบริษัทที่ยังเพียงพอรองรับการลงทุนต่าง ๆ
“หลังจากที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 8 สิงหาฯที่ผ่านมา ทางบอร์ดก็ได้มีมติเห็นชอบให้เริ่มมองหาการซื้อกิจการ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างการเติบโตและต่อยอดธุรกิจในอนาคต ซึ่งตอนนี้เราก็มีสนใจแล้วอยู่ 1 ธุรกิจในประเทศ ซึ่งกำลังเตรียมเข้าไปเจรจา โดยคาดว่าจะใช้เงินระดับร้อยล้านบาท ส่วนความชัดเจนของการซื้อกิจการนี้ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่นอนได้"นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวว่า ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรในเมียนมา คือ บริษัท เอ็ม จี ที เมียนมาร์ จำกัด จะจัดตั้งเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 4/60 จากกำหนดเดิมในต้นปี 61 เนื่องจากความต้องการสินค้าประเภท Finishing Product ในเมียนมาเติบโตสูงขึ้นมาก ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเร่งการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้ทันต่อการรุกตลาดได้เต็มที่ในปี 61 เพื่อสร้างสัดส่วนรายได้จากเมียนมาราว 5% ของรายได้รวม
บริษัทร่วมทุนดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดย MGT ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และพันธมิตรเมียนมา ถือหุ้น 49% ซึ่งบริษัทจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้จำนวน 5 ล้านบาท
ด้านการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรในกัมพูชา ปัจจุบันกำหนดการจัดตั้งบริษัทและการเริ่มดำเนินธุรกิจได้ยังเป็นไปตามแผนเดิมภายในปี 61 โดยบริษัทมองว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์ในกัมพูชาจะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้น จึงยังไม่มีความจำเป็นมากนักที่จะต้องเร่งดำเนินธุรกิจ
นายวิทยา กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในแง่ของยอดขายที่จะเห็นการเติบโตที่ชัดเจน เนื่องจากในช่วงปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มีการสั่งซื้อสินค้าของบริษัทเข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งบริษัทยังได้คู่ค้ารายใหม่จากฝรั่งเศสซึ่งปัจจุบันลูกค้าดังกล่าวก็ได้มีการส่งสินค้าไปแล้ว และคาดว่าจะมีการทยอยสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น
อีกทั้งการที่ค่าเงินบาทยังแข็งค่า ส่งผลให้บริษัทได้รับประโยชน์ในการนำเข้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ ซึ่งมีราคาที่ถูกลง แต่ราคาขายยังอยู่ในระดับที่เท่าเดิม ทำให้บริษัทมีส่วนต่างจากราคาขายเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลบวกต่อในแง่ของกำไรที่มีทิศทางที่ดี ในขณะที่รายได้ในปีนี้ยังคงเป้าเติบโต 20%