นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/60 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท และมีรายได้รวม 21,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 561 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 20,896 ล้านบาท
การเติบโตของทั้งกำไร และรายได้ในไตรมาส 2/60 เกิดจากปริมาณการขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 881 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของปริมาณการใช้น้ำมันภายในประเทศ รวมถึงบริษัทฯได้พัฒนาการบริหารจัดการระบบขนส่ง และ Supply chain ให้ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารต้นทุนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ค่าการตลาดในไตรมาสนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว เป็นผลจากการปรับราคาขายปลีกที่สอดคล้องกับต้นทุนมากขึ้น และค่าการตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้มีทิศทางในการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยในปีนี้บริษัทฯยังคงเป้าปริมาณการขายน้ำมันให้เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน จากการขยายสถานีบริการในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากขึ้น และจากปริมาณการขายต่อสถานีต่อเดือนที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น
อนึ่ง PTG รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 2/60 มีกำไรสุทธิ 264.88 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 313.84 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.19 บาท
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนสถานีบริการให้ได้ที่ 1,800 สถานีครอบคลุมทั่วประเทศ จากในปัจจุบันที่มีสถานีบริการ 1,506 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นผ่านโปรแกรมบัตรสมาชิก PT Max Card ที่วางเป้าหมายไว้ ที่ 7.4 ล้านสมาชิก ณ สิ้นปี 60
และที่สำคัญปริษัทฯมีแผนในการขยายธุรกิจ non-oil มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยธุรกิจ non-oil ในสถานีบริการที่จะเริ่มเห็นชัดมากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ ธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย และธุรกิจศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถบรรทุก และรถยนต์ส่วนบุคคลที่ประกอบกิจการบนสถานีบริการเป็นหลัก ทำให้สามารถขยาย non-oil ได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่การขยายธุรกิจ non-oil นอกสถานีบริการนั้น ล่าสุดบริษัทฯได้เข้าลงทุนในบริษัท จีเอฟเอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายทางการค้าต่างๆเช่น Coffee World และ Cream & Fudge เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการรองรับฐานลูกค้าให้ครอบคลุมกลุ่มคนเมือง เป็นการต่อยอดการขยายพันธมิตรทางธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มนอกสถานีบริการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโอกาสในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
“เราประเมินว่าสถานการณ์ของค่าการตลาดมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากค่าการตลาดในไตรมาสนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว เป็นผลจากการปรับราคาขายปลีกที่สอดคล้องกับต้นทุนมากขึ้น รวมถึงเรามุ่งสู่การเป็นผู้นำทางด้านบริการในธุรกิจพลังงานครบวงจรของประเทศด้วยการการขยายเครือข่ายของธุรกิจที่เป็นทั้ง oil และ non-oil ซึ่งเรายังคงเพิ่มพันธมิตรที่เข้ามาสนับสนุนเครือข่ายของธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการมีธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว" นายพิทักษ์ กล่าว