นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโรงกลั่นและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน บมจ.บางจากคอร์ปอเรชั่น (BCP) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนธุรกิจปิโตรเคมี ในพื้นที่อาเซียน ซึ่งรวมถึงในไทยด้วย ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งโรงงานใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 4-5 ปีข้างหน้า โดยการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตในอนาคต หลังจากที่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เริ่มเข้ามามีบทบาทและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมากในอนาคต ซึ่งอาจจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันและยอดขายน้ำมันในช่วง 10 ปีข้างหน้า
"การศึกษาเราดูทั้งการตั้งโรงงานในไทยและอาเซียน หรือการเข้าซื้อกิจการ แต่การลงทุนในประเทศคงไม่สามารถดำเนินการที่โรงกลั่นบางจากได้ เพราะเป็นพื้นที่เล็กและอาจมีปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ก็อาจจะต้องดูพื้นที่อื่นแทน รวมถึงต้องดูทั้ง demand และ supply ของปิโตรเคมีด้วย" นายพงษ์ชัย กล่าว
ด้านนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ BCP กล่าวว่า สำหรับความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเห็นภาพที่แน่นอนได้ภายใน 5-10 ปี หรือ 15 ปีข้างหน้า แต่เบื้องต้นยังเห็นว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตามบริษัทก็ได้มีการลงทุนในธุรกิจลิเทียมเพื่อรองรับการทำแบตเตอรี่ลิเทียมในรถยนต์ไฟฟ้า โดยได้เข้าถือหุ้น 16.1% ใน Lithium Americas Corp. (LAC) ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินา
สำหรับแนวโน้มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปีนี้ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะเติบโตราว 20% จากระดับ 1.11 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว หลังจากที่ได้ควบรวมกิจการธุรกิจชีวภาพของบริษัท กับธุรกิจเอทานอลของบมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เป็นบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (BBGI) ซึ่ง BCP จะถือหุ้น 60% และ KSL ถือหุ้น 40% ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนต.ค.60
"กำไรของบริษัทใหม่ ส่วนที่เข้ามาในบางจากฯดีขึ้น ความสามารถในการทำกำไรก็จะสะท้อนมาในบางจากฯ ทุก ๆ ไตรมาสต่อไป ในไตรมาส 4 ก็จะดีขึ้นกว่าที่เราวางแผนไว้ EBITDA ก็น่าจะได้มากขึ้นจากที่เราประมาณการไว้"นายชัยวัฒน์ กล่าว
อนึ่ง BCP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปีนี้ สามารถทำ EBITDA ได้แล้ว 6.59 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน