นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 60 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศตาม Business Plan ที่วางไว้ โดยคาดว่าจะสามารถบรรลุยอดขายที่ดินในนิคมฯ ทั้งปีได้ 1,400 ไร่
พร้อมกันนั้น บริษัทเตรียมแผนยกระดับนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มขึ้นเป็นเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมอากาศยานและชิ้นส่วน หุ่นยนต์ และยานยนต์แห่งอนาคต สอดรับกับนโยบายเขตส่งเสริมพิเศษที่จะต้องเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลตามแผน EEC นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม เฟส 1 จำนวนกว่า 3,000 ไร่ ได้ในช่วงปลายปีนี้
ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค คาดว่ารายได้การให้บริการน้ำทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าหมายประมาณ 10% จากปริมาณลูกค้าในนิคมฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมี ซึ่งมีการใช้น้ำในปริมาณมากเช่นเดียวกันกับธุรกิจโรงไฟฟ้าที่น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 40% จากการมีโรงไฟฟ้าที่จะ COD ได้ตามแผนอีก 3 แห่งในครึ่งหลังของปีนี้
ส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลจิสติกส์ในประเทศ ตั้งเป้าพื้นที่เช่า 200,000-250,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันบริษัทมียอดพื้นที่ที่ทำสัญญาแล้วและอยู่ระหว่างเจรจาที่มีความเป็นไปได้สูง ทั้งโครงการ Built-to-Suit และ Sale and Leaseback แล้วกว่า 80% ของเป้าหมายที่วางไว้ และโครงการโลจิสติกส์ในประเทศอินโดนีเซีย กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าในโครงการเฟสที่ 2 อีกด้วย
สำหรับแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT) ในช่วงปลายปี คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าและสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/60 โดยตั้งเป้าขายทรัพย์สินประเภท Built-to-Suit ให้กองทรัสต์ WHART มูลค่าไม่เกิน 3,090 ล้านบาท และขายทรัพย์สินประเภท Ready-Built ให้กองทรัสต์ HREIT มูลค่าไม่เกิน 1,690 ล้านบาท โดยทั้งกองทรัสต์ WHART และ HREIT ต่างได้รับมติอนุมัติการลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินของบริษัทฯ จากที่ประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์แล้ว เมื่อวันที่ 13 ก.ค. และวันที่ 21 มิ.ย.60 ตามลำดับ
กระบวนการต่างๆ ของกองทรัสต์ WHART และกองทรัสต์ HREIT อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนและสามารถดำเนินการได้ตามแผนในช่วงปลายปีนี้ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ 13,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ในเร็วๆ นี้ บริษัทฯ เตรียมเดินสายโรดโชว์ (Non-Deal Roadshow) นำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนต่างประเทศโดยจะเดินสายไปฮ่องกงและยุโรปในเดือนกันยายนและสิงคโปร์ในเดือนพฤศจิกายนนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการครบวงจรในด้านธุรกิจสังหาริมทรัพย์เพื่อโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม บริการสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์มของประเทศ และแสดงศักยภาพความพร้อมในการรองรับโครงการลงทุนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามนโยบาย EEC ของภาครัฐ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า 3,407.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,423.6 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็น 72% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 972.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191% ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์หลังจากที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยไม่นับไตรมาสที่มีการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนรวมฯ/กองทรัสต์ฯ
ในไตรมาสนี้ บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมตามเป้าหมาย รวมถึงมีส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานเพิ่มขึ้นจากการรับรู้กำไรเพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้า SPP อีก 2 แห่งที่เปิดดำเนินการเมื่อเดือน พ.ย.59 และเดือน พ.ค.60 จำนวน 62.8 เมกะวัตต์ตามสัดส่วนการถือหุ้น มีผลทำให้จำนวนเมกะวัตต์ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมในโรงไฟฟ้าที่เริ่มดำเนินการและรับรู้รายได้แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 382.1 เมกกะวัตต์ ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่ลดลงอย่างมาก จากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวได้ตามแผน โดยชำระคืนหนี้ประมาณ 5,000 ล้านบาทในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
ขณะที่ผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 60 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า 4,772.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 3,707.5 ล้านบาท เนื่องจากมียอดการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้ตามแผน และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรฯ จากธุรกิจพลังงานจากโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่ลดลงได้อย่างมากจากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวได้ตามแผน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,053.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 454.4 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 132%