นางสาววันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างทำตรวจสอบฐานะทางการเงิน (Due Diligence) กับพันธมิตรประเทศญี่ปุ่น โดยจะเป็นการลงทุนร่วมกันรวม 5 ราย เพื่อพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญึ่ปุ่น กำลังการผลิตราว 200-500 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการรวม 50,000 ล้านบาท คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 1/61
เบื้องต้นบริษัทจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 20% โดยแหล่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะมาจากที่บริษัทฯได้ขออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) เพื่อรองรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) แต่ยังไม่ได้ทำการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปตามแผนการดำเนินงานก็น่าจะส่งผลทำให้กำลังการผลิตในปี 63 ของบริษัทฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตโซลาร์ฟาร์มรวม 260 เมกะวัตต์ โดย SPCG ยังคงมองหาโอกาสที่จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นโซลาร์ฟาร์ม แต่เปิดกว้างในการลงทุนพลังงานทดแทนรูปแบบอื่นๆด้วย
"การขยายการลงทุนเราก็มองในญี่ปุ่นและอาเซียน โดยจะเป็นลักษณะของการเข้าไปร่วมลงทุน ซึ่งก็ต้องมีการศึกษาและดูนโยบายของภาครัฐประกอบด้วย เพราะเรามีนโยบายว่าไปแล้วต้องมั่นคง ยั่งยืน"นางวันดี กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น ในพื้นที่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟไดเซน ขนาด 30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) ให้กับหน่วยงานภาครัฐประเทศญี่ปุ่นได้ในช่วงปลายปีนี้ โดยจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงปิดงบการดำเนินงานของประเทศญุ่ปุ่น
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 6,000 ล้านบาท จากการรับรู้การจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 แห่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ได้ออกนโยบายสนับสนุนโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟในโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 50% ของเงินลงทุน หรับผู้ประกอบกิจการที่ยื่นเสนอขอลงทุนในโครงการดังกล่าวภายในปี 60 ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลต่อต่อธุรกิจโซลาร์รูฟเติบโตมากขึ้น