นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีพีแอล กรุ๊ป (CPL) เปิดเผยว่า ช่วงที่เหลืออยู่ของปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทจะไม่ได้ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างของบริษัทร่วมทุนที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าหาลูกค้ารายใหม่เพื่อขยายฐานและกระจายลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้
ในส่วนของการผลิตก็มั่นใจว่าการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าจะกลับมาคึกคักและผลิตได้เต็มกำลังอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/60 หลังจากที่ผ่านมา CPL ได้เดินหน้าปรับปรุงภายในโรงงานเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะมีเข้ามาเพิ่มขึ้น รวมทั้งรองรับการผลิตหนังหมู ที่คาดว่าจะสามารถผลิตได้ในไตรมาส 4 เช่นกัน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 บริษัทมีรายได้จากการขาย 648 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 107 ล้านบาท คิดเป็น 16% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/59 คิดเป็น 7% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 20 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 6 ล้านบาท คิดเป็น 22%
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 60 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,188 ล้านบาท ลดลง 14% โดยมีกำไรสุทธิ 67.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 0.46 ล้านบาท คิดเป็น 14,5457%
นายภูวสิษฎ์ กล่าวว่า แม้ว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 จะลดลง แต่กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมาจากการดำเนินงานตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการขายหนัง รับฟอกหนัง ที่ยังทำรายได้ให้กับบริษัท เช่นเดียวกับสินค้าป้องกันภัยส่วนบุคคล (เซฟตี้ โปรดักส์) และรองเท้านิรภัย ที่ดำเนินการภายใต้แบรนด์ ‘แพงโกลิน’ โดยรวมแล้วธุรกิจหลักของ CPL ยังเดินหน้าไปได้ดี
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 มีปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ การรับรู้ขาดทุนจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท อินทิเกรเต็ด เลเธอร์ เน็ตเวอร์ค หรือ ILN ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน เนื่องจากเราได้ขายสินค้าคงเหลือออกไปทั้งหมด เพราะต้องการปรับโครงสร้างให้ ILN เป็นบริษัทที่ให้บริการเรื่องหนังอย่างเดียว แต่ในไตรมาสนี้ บริษัท ยังรับรู้กำไรพิเศษจากการกลับรายการลูกหนี้ หลังจากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ในประเทศจีน และบริษัทได้ตั้งสำรองไว้ก่อนหน้านี้ด้วย