น.ส.สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) (SYNEX) กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตแตะ 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดจะเติบโตได้ราว 28,500 ล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่า 20% เนื่องจากครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมาก โดยมีรายได้การขายและให้บริการอยู่ที่ 16,421 ล้านบาท ขณะที่มองแนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกเป็นไปตามธุรกิจทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งกลุ่มสินค้า Device ,Commercial, Consumer ที่เติบโตดี
"ครึ่งปีแรกเราโตดีมาก และเราก็เชื่อว่าครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากสินค้าที่จะออกมาใหม่ของแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งน่าจะทำให้ทั้งปีรายได้ของเรามีโอกาสเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจาก กลุ่มมือถือและโน๊ตบุ๊ค (Device) ราว 40% , Consumer 36% และที่เหลือเป็น Commercial"น.ส.สุธิดา กล่าว
ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งแบรนด์ชั้นนำค่ายต่าง ๆ เตรียมออกสินค้าใหม่ เช่น กลุ่มสมาร์ทโฟนค่ายซัมซุง ก็จะออกสินค้าใหม่อย่าง Samsung Galaxy Note8 และ Huawei ก็เตรียมออก Huawei Mate 10 เป็นต้น ส่วนกลุ่มสินค้า Commercial ก็จะมีสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดเช่นกัน เช่น สินค้าด้านความปลอดภัย ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้เติบโตกว่าปีก่อนเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.82% หรือใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก เป็นไปตามการจำหน่ายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง และการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญใหญ่ "พบ Trusted By Synnex ลุ้นโชค 2 ชั้น" ระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-31 ธ.ค.60 เพื่อกระตุ้นยอดขายและคืนกำไรให้กับผู้บริโภค (End user) และตัวแทนจำหน่ายสินค้า (Dealer) ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันยอดขายทั้งปีให้เติบโต
น.ส.สุธิดา กล่าวว่า สำหรับการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท บัฟ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทสามารถรับรู้กำไรสุทธิเข้ามาแล้ว แต่ยังไม่มีการรวมงบการเงิน เพื่อป้องกันการสับสนของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพิจารณาให้มีการจัดทำงบการเงินรวม (Consolidated Subsidiaries) ก็ต่อเมื่อจะมีการปล่อยสินเชื่อในสินค้าไอทีมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มสินค้าไอทีได้ในปี 61 ซึ่งขณะนี้ได้ส่งทีมงานเข้าไปทำงานร่วมกันแล้ว
ส่วนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา ก็มีการเติบโตที่ดี โดยเมียนมา อยู่ระหว่างศึกษาปรับโครงสร้างธุรกิจ หรือการเข้าไปวางระบบการขายให้คล้ายกับในไทย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีหน้า ส่วนกัมพูชา ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างมองหาพันธมิตรร่วมทุน (JV) เพื่อขยายตลาด จากปัจจุบันเป็นลักษณะของตัวแทนจำหน่าย
น.ส.สุธิดา กล่าวถึงกรณีการแก้ไขกกฎหมายควบคุมอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ในประเทศไทยนั้น บริษัทได้มีการศึกษากฎหมายดังกล่าวก่อนที่จะมีการนำโดรนเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ จึงเชื่อว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท