นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/60 กำไรสุทธิอยู่ที่ 148.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 102 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 4.9% ส่วนรายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 3,027.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,364.3 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 263.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 191.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.4% ส่วนรายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 5,978.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,853.3 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจในกลุ่มเจมาร์ทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และธุรกิจติดตามหนี้ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ขณะที่ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล พลิกกลับมามีผลกำไรแล้วในไตรมาส 2 ปีนี้
ทั้งนี้ JMART ประกอบธุรกิจโฮลดิ้งที่ลงทุนในธุรกิจหลากหลาย โดยเน้นในธุรกิจค้าปลีก สำหรับผลงานที่ออกมาอย่างโดดเด่น สะท้อนการเติบโตของบริษัทย่อย และการ Synergy ร่วมกันของบริษัทในกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเติบโตของรายได้ มาจากธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ผ่านการบริหารของ บจก. เจมาร์ท โมบาย ทำรายได้ในไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 2,371.6 ล้านบาท เติบโต 19.1% และในงวด 6 เดือนแรกทำได้ 4,778.2 ล้านบาท เติบโต 15.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท ทั้งหน้าร้าน Jaymart ที่มีการจัดแคมเปญ Jaymart Lifetime Warranty ออกหมัดเด็ดโดนใจผู้บริโภค และการเติบโตผ่านช่องทางของบริษัทในเครือ อาทิ ร้านมือถือรายย่อย IT Junction, สินเชื่อ J MONEY และ ตัวแทนขายซิงเกอร์ที่มีทั่วประเทศ
ขณะที่ธุรกิจบริหารหนี้ของ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เป็นดาวเด่นสุดในกลุ่ม รับรู้รายได้จากการติดตามหนี้และบริการในไตรมาส 2 ปีนี้ 481.9 ล้านบาท เติบโต 100.3% และในงวด 6 เดือนแรกปีนี้ 853.4 ล้านบาท เติบโต 86.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ไตรมาส 2 ปีนี้ รับรู้รายได้ค่าเช่าและค่าบริการอยู่ที่ 174.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% และในงวด 6 เดือนแรกปีนี้ 347.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายสาขาของ IT Junction และการเปิดศูนย์การค้า The Jas Urban ศรีนครินทร์ ซึ่งมีอัตราผู้เช่าเต็ม 100%
“เรามองกลยุทธ์และวางแผนการเติบโตของแต่ละธุรกิจในระยะยาว นี่แค่จุดเริ่มต้นของการ Synergy ร่วมกัน จากนี้ไปกลุ่มเจมาร์ทจะยิ่งสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยจุดแข็งในเรื่องช่องทางค้าปลีกและฐานข้อมูลลูกค้ารายย่อยรวมกันใหญ่ที่สุดและมีอยู่ทั่วประเทศ สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ได้อีกมากมาย และมั่นใจเป้าหมายปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 438 ล้านบาท รายได้รวม 10,701 ล้านบาท" นายอดิศักดิ์ กล่าว
ด้านนายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/60 สามารถสร้างประวัติการณ์ ในด้านผลประกอบการสูงสุดอย่างต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 124.8 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 254.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 35.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 32.9% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 379.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 247 ล้านบาท ขณะที่ผลงานงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 198 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 892.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 20 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 30.4% รายได้รวมอยู่ที่ 651.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 473.5 ล้านบาท การเติบโตอย่างโดดเด่นดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากหนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาบริหารในช่วงที่ผ่านมา และสามารถจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในบริษัทย่อยแล้ว
สำหรับผลงานที่ออกมาอย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำ JMT ในฐานะเบอร์หนึ่งในธุรกิจบริหารหนี้ของประเทศ พร้อมประเมินทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังยังคงโดดเด่น จากการรับรู้รายได้หนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาบริหารในช่วงที่ผ่านมา และความสามารถในการจัดเก็บหนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับในช่วงปลายปี ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ จะเทขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาจำนวนมาก เป็นโอกาสของ JMT รุกเข้าไปซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้น
โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารแล้วจำนวน 690 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 60 จะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มจำนวน 3 หมื่นล้านบาท หรือสิ้นปีนี้จะมีพอร์ตบริหารหนี้แตะ 1.4 แสนล้านบาท ยังเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้นได้ เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างเข้าประมูลและเจรจากับสถาบันการเงินต่างๆ หลายราย ซึ่งจะทยอยประกาศในช่วงครึ่งปีหลัง และเตรียมรุกเข้าไปซื้อหนี้ที่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร เพิ่มความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ และนับเป็นการต่อยอดธุรกิจให้กลุ่มเจมาร์ทในอนาคต
พร้อมทั้งเตรียมขยายธุรกิจติดตามหนี้ในประเทศกัมพูชา ผ่านบริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จำกัด ซึ่งมีลูกค้ารอใช้บริการแล้ว ทั้ง สถาบันการเงินชั้นนำ ธนาคาร สินเชื่อส่วนบุคคล และบริษัทลิสซิ่ง เป็นต้น คาดเริ่มเปิดดำเนินการธุรกิจติดตามหนี้ในกัมพูชาไตรมาส 3/60
“เราเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจบริหารหนี้ ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ มากมาย บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้มูลค่ารวมประมาณ 1.12 แสนล้านบาท และหนี้ที่ซื้อมาจำนวน 108 กอง ถูกตัดต้นทุนไปแล้วประมาณ 36% ของจำนวนกองทุนหนี้ด้อยคุณภาพทั้งหมด ทำให้หลังจากนี้การเก็บหนี้ในก้อนดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้เข้ามาเต็มจำนวน พร้อมเดินหน้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก ตั้งเป้าปีนี้ซื้อ 3 หมื่นล้านบาท สนับสนุนการรับรู้รายได้และกำไรบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งในอนาคตและยืนยันเป้าหมายการเติบโตปี 60 อยู่ที่ 30% จากปี 59 กำไรสุทธิอยู่ที่ 290 ล้านบาท รายได้รวมอยู่ที่ 1,063.7 ล้านบาท"" นายปิยะ กล่าว