นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) คาดว่าผลการดำเนินงานทั้งรายได้ กำไร และสินเชื่อ ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะเติบโตสูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวมอยู่ที่กว่า 1.67 พันล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 664.21 ล้านบาท และสินเชื่อรวมในครึ่งปีแรกขยายตัว 4% โดยมีมูลค่าสินเชื่อคงค้างในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.02 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเติบโตขึ้นของผลการดำเนินงานในภาพรวมมาจากการที่ธุรกิจในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกมีผลกระทบในเรื่องปัญหาน้ำท่วม และวันหยุดช่วงเทศกาลที่ค่อนข้างมาก ทำให้ธุรกิจในประเทศไทยช่วงครึ่งปีแรกชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าธุรกิจในประเทศไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และภาวะน้ำท่วมได้คลี่คลายลงไป ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศยังมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างดี โดยเฉพาะธุรกิจในเมียนมา และอินโดนีเซีย ที่มีอัตราการเติบโตสูง
"เรายังเชื่อว่าผลการดำเนินงานในปีนี้ยังสามารถทำ New High ได้ เพราะแนวโน้มของธุรกิจในไทยและต่างประเทศยังมีการเติบโตได้ โดยเฉพาะในต่างประเทศที่เมียนมา และอินโดนีเซียที่มีการเติบโตค่อนข้างมาก ซึ่งเรามองว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เมียนมาจะมีสัดส่วนพอร์ตที่เพิ่มมามากขึ้น และในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า อินโดนีเซียจะมีสัดส่วนพอร์ตและสัดส่วนรายได้ที่มากที่สุด เพราะด้วยจำนวนประชากรที่มากถึง 250 ล้านคน ทำให้การขยายตัวของธุรกิจในอินโดนีเซียมีการเติบโตที่สูงขึ้น"นายทัตซึยะ กล่าว
นายทัตซึยะ กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทรงตัวจากครึ่งปีแรกที่ 4% โดยบริษัทมีเป้าหมายควบคุม NPL ให้อยู่ในช่วง 3.8-4.2% ส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีในสิงคโปร์ที่บริษัทปล่อยกู้ซึงมีมูลค่าหนี้ 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันสูงถึง 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มองว่าหากมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อบริษัท เพราะหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและมีมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันสูงกว่ามูลหนี้ในสัดส่วน 117.81%
ขณะที่การปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่จดทะเบียนตั้งขึ้นในหมู่เกาะไซปรัสนั้นบริษัทได้ปล่อยกู้ไป 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่ามูลหนี้โดยคิดเป็นสัดส่วนที่ครอบคลุมสูงถึง 103.73% ทำให้กรณีของการปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ทั้งสิงคโปร์และหมู่เกาะไซปรัสยังไม่ได้สร้างความกังวลให้บริษัท เพราะเป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันครอบคลุมมูลหนี้ทั้งหมด และยังไม่เห็นสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้จากลูกหนี้ ซึ่งที่ผ่านมาลูกหนี้ทั้ง 2 กลุ่มชำระหนี้ตามปกติ และไม่เคยเกินระยะเวลา (Over due)
"ลูกหนี้ทั้งสิงคโปร์และไซปรัสที่เราปล่อยกู้ยังไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาก็มีการชำระทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยเข้ามาปกติ ไม่เคยพบการ Over due เกิดขึ้น แต่หากในอนาคตมีปัญหาก็ไม่ได้กังวล เพราะเราสามารถเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันไปขายได้ ซึ่งมูลค่าหลักทรัพย์ก็สูงกว่ามูลหนี้อยู่แล้ว"นายทัตซึยะ กล่าว
นายทัตซึยะ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนอื่น ๆ บริษัทยังคงมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการ หลังจากที่บริษัทมีเงินสดในมือที่สูงถึง 3.59 พันล้านบาท ในครึ่งปีแรก ซึ่งถือว่ามีกระแสเงินสดอยู่ในมือค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทมองถึงการนำกระแสเงินสดดังกล่าวไปใช้ลงทุน ซึ่งการซื้อกิจการที่บริษัทมองหาอยู่นั้น ยังไม่สามารถระบุประเทศ หรือระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจนได้ในตอนนี้