นางปิยะนุช รังคสิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น (TWZ) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/60 (เม.ย.-มิ.ย.60) มีรายได้รวม 919.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.53 ล้านบาท แม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นในปีนี้ แต่ก็ไม่ได้กระจายการเติบโตอย่างทั่วถึงในทุกกลุ่มอาชีพ และทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอุปกรณ์สื่อสารของ TWZ ซึ่งเป็นกลุ่มกลางๆ ที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต จึงส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า
อย่างไรก็ตาม ด้วยการทำตลาดเชิงรุก จึงทำให้ TWZ ยังคงทำกำไรจากธุรกิจนี้ได้ ซึ่งจากภาวะการแข่งขันที่สูงในธุรกิจซื้อขายอุปกรณ์สื่อสาร ยิ่งทำให้เห็นชัดว่า เรามีความจำเป็นต้องนำธุรกิจอื่นที่สร้างรายได้แน่นอนสม่ำเสมออย่างธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มาเสริม โดยการรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ก็เป็นไปตามประมาณการที่วางไว้
ทั้งนี้ TWZ ประเมินว่าจากการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) รวม 3 โครงการ กำลังการผลิตรวม 15 เมกะวัตต์ ผ่านบริษัทเกียร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่ง TWZ ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ปีละประมาณ 120 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรประมาณ 40-50% หรือประมาณปีละ 50-60 ล้านบาท
โดยโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โครงการแรก บริษัทเกียร์ฯ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท มาสเทค ทูล แอนด์ เซอร์วิส จำกัด หรือมาสเทค (MASTECH) ซึ่งดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5 เมกะวัตต์ ที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมหินซ้อน จังหวัดสระบุรี ส่วนอีก 2 โครงการ บริษัท เกียร์ฯ ได้ทำข้อตกลงเข้าถือหุ้นบริษัท บีม คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ชายน์ เอนเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 2 ซึ่งสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ขอนแก่น จำกัด และ สหกรณ์ประมงจังหวัดบุรีรัมย์ จำกัด จับสลากได้และผ่านการคัดเลือกในการยื่นข้อเสนอขอขายไฟฟ้า โครงการละ 5 เมกะวัตต์ รวมเป็น 10 เมกะวัตต์
สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การรับรู้รายได้จะเข้ามาในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากโครงการ The Pazer พัทยา มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ได้ทยอยรับโอนและรับรู้รายได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 40% ของมูลค่าโครงการ หรือประมาณ 200 ล้านบาท