หุ้น PTTGC ราคาวิ่งขึ้น 2.07% มาอยู่ที่ 74 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,071.55 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 73 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 74.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 72.50 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ด้วยเหตุผล 1) แนวโน้มกำไรปกติใน Q3/60 ฟื้นตัวโดดเด่นจากค่าการกลั่นที่ดี และฐานการผลิตที่ต่ำผิดปกติในปีก่อนได้ 2) วางแผนขยายการลงทุนด้านการพัฒนามูลค่าผลิตภัณฑ์ต่อยอดไปยังสินค้าปลายน้ำต่อเนื่อง 3) พื้นฐานมีความมั่นคง จากสัญญาซื้อวัตถุดิบแบบ Net Backed ทำให้มีกำไรแน่นอน 4) ราคาหุ้นที่ประเมินคิดเป็น P/E ปีนี้เพียง 12 เท่า คาด Dividend Yield สูงถึง 4.7% โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 83 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ มองว่า PTTGC เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมกำไรพิเศษ) ฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นใน Q3/60 ปัจจัยหนุนหลักจากค่าการกลั่นที่ยืนในระดับสูง ค่าการกลั่น Singapore Refinery Margin ใน 3Q60 เฉลี่ย QTD อยู่ที่ USD7.6 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ USD6.4 และ USD5.2 ใน Q2/60 และ Q3/59 ตามลำดับ หนุนกำไรของธุรกิจโรงกลั่น ขณะที่คาดอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นของโรงปิโตรเคมีที่ผลิตเป็นปกติ (Q2/60 มีหยุดซ่อมบำรุงโรง OLE2/1 และ Aro2 ขณะที่ Q3/59 มีหยุดซ่อมบำรุงนอกแผนของโรง OLE3) ผลักดันให้ผลประกอบการของ PTTGC ที่ไม่รวมกำไรพิเศษสามารถแสดงการฟื้นตัวอย่างชัดเจนทั้ง QoQ และ YoY
นอกจากนี้ ชื่นชอบแผนในการลงทุนเพื่อพัฒนามูลค่าผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องของ PTTGC เนื่องจากแผนดังกล่าวจะช่วยหนุนให้สินค้าที่มีราคาขายผันผวนให้มีมูลค่าสูงขึ้น และทำให้กำไรมีเสถียรภาพขึ้น โดยคาด PTTGC จะได้ประโยชน์จากการลงทุนใน Asset Injection มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่กำไรปีละ 2 พันล้านบาท เนื่องจากสินค้าที่ผลิตอย่าง PP, Acrylonitrile และ MMA มี spread ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า (เริ่มเห็นผลบวกตั้งแต่ Q3/60) ขณะที่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศการตัดสินใจลงทุนในโครงการ PO/Polyol ซึ่งเป็นการขยายการลงทุนไปยังสินค้าปลายน้ำที่มีมูลค่าสูง ช่วยหนุนมูลค่าของผลิตภัณฑ์ Propylene กว่าเท่าตัวได้ (คาด COD ได้ในปี 2563)
ปัจจุบัน PTTGC มองเห็นถึงความเสี่ยงในการพึ่งพิงการใช้ Ethane จากโรงแยกก๊าซของ PTT เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีหลัก บริษัทจึงเตรียมลงทุนในโครงการ Maphtaput Retrofit (คาด COD ได้ในปี 63) ที่ช่วยขยายกำลังการผลิตและเพิ่มสัดส่วนการใช้แนฟทา (สามารถผลิตได้จากโรงกลั่น)เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีได้อีกด้วย นอกจากนี้ PTTGC ยังได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการนำเข้า LPG เพื่อมาเป็นสัดส่วนผสมในการใช้เป็นวัตถุดิบในโครงการดังกล่าว ช่วยลดความเสี่ยงด้านการพึ่งพิงวัตถุดิบและสามารถปรับการผลิตให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในอนาคตได้