นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด (KT ZMICO) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ในปีนี้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 2% ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด ประกอบกับ คาดว่าตลาดหุ้นยังจะอยู่ในภาวะทรง ๆ ตามทิศทางเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก โดยประเมิน SET Index ในปีนี้ที่ 1,590 จุด
ปัจจุบัน บริษัทมีบัญชีลูกค้ากว่า 8 หมื่นบัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอราว 3 หมื่นบัญชี
ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) ปัจจุบันบริษัทมีงานที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบริษัทที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ภายในปีนี้ 2 บริษัท ซึ่งอยู่ในธุรกิจมีเดีย คอนเทนท์ และธุรกิจวิศวกรรม นอกจากนี้ยังมีงานที่ปรึกษาการควบรวมกิจการอีก 2-3 แห่งที่คาดว่าจะข้อสรุปภายในปีนี้
"ปีนี้ภาพรวมผลประกอบการคงจะไม่ดีนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปริมาณการซื้อขายที่ไม่มากนัก ตามภาวะตลาดที่ซบเซา ประกอบกับมีผู้ที่เข้ามาดำเนินกิจการเพิ่มขึ้น ทำให้แชร์ในตลาดก็มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพื่อที่จะช่วยในการซื้อขายหุ้นและมีผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ทั้งลูกค้าเก่ากลับมาซื้อขายมากขึ้น และมีลูกค้าใหม่เข้ามาสนใจด้วย"นายชัยภัทร กล่าว
ล่าสุด บริษัทฯร่วมพัฒนาเทคโนโลยีกับ SetScope ซึ่งเป็น Fintech Startup ชั้นนำที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ทีมที่ดีที่สุดของการแข่งขัน Startupbootcamp Fintech Asia จาก Fintechs ทั้งหมด 400 ทีมทั่ว Asia และ Oceania เมื่อปีที่ผ่านมา และประเดิมนำ Setscope แพลทฟอร์ม แอพพลิเคชั่นมาเชื่อมต่อโปรแกรมและแอพลิเคชั่น Znet ของเคที ซีมิโก้ สำหรับซื้อขายหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์
ทั้งนี้ เพื่อช่วยตอบโจทย์นักลงทุนในการค้นหาหลักทรัพย์ (Stock Scan) ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดในตลาดฯ และยังเป็นผู้แนะนำ (Robo Advisor) เลือกหุ้นและส่งข่าวสารให้เหมาะสมกับความต้องการเชิงลึกของนักลงทุนโดยแท้จริงในทุกมิติ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงหุ้นคุณภาพดี นายชัยภัทร ยังเปิดเผยอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ตั้งสำรองหนี้ที่มีปัญหาราว 120 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่มีผู้บริหารและนักลงทุนทั่วไปนำหุ้น บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) มาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงินสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัท แต่ขณะนี้หุ้น EARTH ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นำหุ้นมาเป็นหลักประกันส่วนใหญ่มีฐานะที่ค่อนข้างดี บริษัทจึงเชื่อว่าจะสามารถเรียกคืนหนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 70%
"มีบุคคลหลายกลุ่มทั้งผู้บริหาร ทั้งนักลงทุนทั่วไปที่นำหุ้น EARTH เข้ามาเป็นหลักประกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่มีฐานะดีกันทั้งนั้น เราจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อถึงเวลาที่ดำเนินการทางกฏหมายแล้วจะได้เงินคืนมาอย่างน้อยก็ 70% ของเงินที่ตั้งสำรองไปทั้งหมด แต่คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร"นายชัยภัทร กล่าว