นายสุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เปิดเผยว่า โครงการ มาร์ค สุขุมวิท (Marque Sukhumvit) จะสามารถโอนให้ลูกค้าได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มูลค่าราว 5,200 ล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้รายได้ 51% ตามสัดส่วนการถือหุ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการ M จตุจักร ที่เตรียมโอนในครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะสามารถทำกำไรได้ แม้ว่าไตรมาส 1/60 ยังมีผลขาดทุน ซึ่งตามปกติแล้วยอดโอนจะกระจุกตัวอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง
แผนการดำเนินงานในปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในครึ่งปีหลัง แบ่งเป็น แนวราบ 2 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท และอาคารสำนักงาน 1 โครงการ ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่เปิดไปแล้วเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา คือ โครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา 19-วิภา มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท รวมถึงอีก 3 โครงการที่เปิดตัวไปพร้อมกันภายใต้แบรนด์ เมทริส มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท ใน 3 ทำเล คือโครงการเมทริส ลาดพร้าว โครงการเมทริส พัฒนาการ และ โครงการเมทริส พระราม 9 -รามคำแหง
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการลงทุนก่อสร้างโครงการ มิวนีค มูลค่า 3,300 ล้านบาท หลังจากได้ที่ดินแปลงใหม่ซึ่งน่าสนใจ เชื่อว่าจะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ มิวนีค สุขุมวิท 23 ที่สามารถขายได้ถึง 70% ของจำนวนยูนิตที่นำออกขาย และยังมีแบรนด์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวคือ MARU (มารุ)
สำหรับเงินลงทุนในการก่อสร้างโครงการ MJD จะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเป็นหลัก รวมถึงการออกตราสารระยะสั้นและหุ้นกู้เพื่อใช้หมุนเวียน โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการออกหุ้นกู้วงเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เสนอขายไปแล้ว 1,500 ล้านลาท ปรากฎว่าได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน สามารถขายได้หมดในวันเดียว แสดงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อ MJD ที่เน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มีเสถียรภาพ ส่วนที่เหลืออีก 1,500 ล้านบาท อาจจะทยอยขายหากมีความจำเป็น
นอกจากนี้ เงินทุนอีกส่วนหนึ่งจะมาจากพันธมิตรจากต่างประเทศที่เข้ามาร่วมลงทุนเป็นรายโครงการ อย่างเช่น โครงการมาร์ค สุขุมวิท ที่ร่วมทุนกับนักลงทุนสิงคโปร์ โดย MJD ถือหุ้น 51% และพันธมิตรถือหุ้น 49% และล่าสุดเพิ่งมีการร่วมทุนจัดตั้ง MJD-JV1 ขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน และ ยังได้รับคำเสนอขอเข้าร่วมลงทุน จากต่างประเทศเข้ามาเรื่อยๆ คาดว่าจะสรุปการเจรจากับนักลงทุนญี่ปุ่นได้อีก 1 รายภายในปีนี้
นายสุริยา กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลหลักอย่างสุขุมวิท ที่แม้จะมีคอนโดฯ เกิดใหม่ขึ้นจำนวนมาก แต่ก็มีความต้องการซื้อจำนวนมากเช่นกัน ที่น่าสนใจก็คือแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ ที่เริ่มกลับเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ
MJD พบว่ามีความต้องการซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ ทั้งการซื้อแบบรายย่อย และการซื้อ big lot ของรายใหญ่ ทั้งจากนักลงทุนจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่า ส่วนลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีขณะที่ปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าจะไม่เกิดอย่างแน่นอน เพราะธนาคารค่อนข้างเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
"ในธุรกิจอสังหาฯ การเลือกทำเล และจับตลาดให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง MJD เราจับตลาดลูกค้าระดับบน เป็นรายแรกๆ ตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่มีใครกล้าเปิดโครงการ แต่เรามองเห็นศักยภาพว่าตลาดระดับบนน่าจะยังไปได้ ประกอบกับการเลือกทำเลที่ถูกใจลูกค้า ทำให้เราได้รับความเชื่อมั่น เมื่อพูดถึงโครงการในระดับ Luxury หรือ Super Luxury ขึ้นไป ลูกค้าก็จะคิดถึงเราเป็นอันดับแรกๆ"นายสุริยา กล่าว