ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ที่ระดับ “A+" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+" เช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2560 และใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่ได้รับการยอมรับ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและการมีหลักทรัพย์สภาพคล่องในระดับสูงด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลางและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงรวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวยังส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
LH เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทย จากรายได้ของบริษัทที่เท่ากับ 29,909 ล้านบาทในปี 2559 และ17,093 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ทำให้บริษัทอยู่ใน 3 อันดับแรกในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตระกูลอัศวโภคินมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 31% ณ เดือนพฤษภาคม 2560 รองลงมาคือ Government of Singapore Investment Corporation (GIC) ในสัดส่วน 16% สินค้าหลักของบริษัทคือบ้านเดี่ยวซึ่งสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของรายได้รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขาย บริษัทมีแบรนด์สินค้าที่หลากหลายทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงหลายระดับราคาในทำเลที่ตั้งที่หลากหลาย บริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านเดี่ยวด้วยยอดขายในส่วนของบ้านเดี่ยวเติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560
ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้ยอดขายดังกล่าวเป็นรายได้จำนวน 8,700 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้อีกจำนวน 4,300 ล้านบาทในปี 2561 และ 1,800 ล้านบาทในปี 2562 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปี
บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เท่ากับ 22%-25% ในช่วงปี 2555 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้สูงกว่า 20% ได้
บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ เดือนธันวาคม 2559 ที่ระดับ 48% และเดือนมิถุนายน 2560 ที่ระดับ 49% ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.97 เท่า แม้ว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าหลายโครงการและมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง แต่ก็คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า
บริษัทมีภาระหนี้ในระดับปานกลางโดยได้รับการลดทอนความเสี่ยงลงบางส่วนจากการที่บริษัทลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ และเงินลงทุนจำนวนมากในหลักทรัพย์สภาพคล่องสูง ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ เดือนมิถุนายน 2560 เท่ากับ 53,662 ล้านบาท และรายได้จากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ 2,000-2,400 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2559
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ บริษัทมีความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนได้ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าการกู้เงินจากธนาคาร โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 14%-17% ในช่วงปี 2556 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 8-9 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นเป็น 13 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่า
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงรักษาสถานะทางการเงินในระดับที่ยอมรับได้ และคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้ารายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนคาดว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในขณะที่ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกันในตลาดหลักทรัพย์รายอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน