(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้อ่อนตัวลง เสี่ยงเงินทุนไหลออกหลังเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะกลับมาแข็งค่า-Bond yield สูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 21, 2017 09:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะอ่อนตัวลง โดยดัชนีฯคงจะยังไม่ไปไหนไกลด้วย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ค่าเงินดอลาร์สหรัฐฯจะกลับมาแข็งค่าขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond yield) ก็สูงต่อไป ทำให้มีความเสี่ยงทิศทางเงินทุนจะไหลออกได้

อย่างไรก็ดี ตลาดฯเช้านี้อาจได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานได้บ้าง แต่คิดว่าถ้ายังไม่ผ่าน 1,570 จุด ก็มีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับตัวลงได้อยู่

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยวันนี้แนะนำให้เลือกลงทุนหรือเก็งกำไรหุ้นเป็นรายตัวที่มีโอกาสได้ประโยชน์ในระยะถัดไป อย่างราคาถ่านหินฟื้นตัว ก็แนะนำ LANNA, ค่าระวางเรือฟื้น ก็แนะนำ TTA, PSL เป็นต้น พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,570-1,560 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 ส.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,674.51 จุด ลดลง 76.22 จุด (-0.35%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,216.53 จุด ลดลง 5.39 จุด (-0.09%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,425.55 จุด ลดลง 4.46 จุด (-0.18%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 39.12 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 5.86 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 53.06 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 5.24 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.89 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.50 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ส.ค.60) 1,566.53 จุด ลดลง 2.42 จุด (-0.15%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 837.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ส.ค.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 ส.ค.60) ปิดที่ 48.51 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.42 ดอลลาร์ หรือ 3%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ส.ค.60) ที่ 8.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.20/23 ทรงตัว รอความชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยตปท.ช่วงปลายสัปดาห์นี้
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ช่วงที่เหลือของปีแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจาก 3 ปัจจัย คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งในเดือน ต.ค.นี้ จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ,ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดในช่วงครึ่งปีแรก เป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่า อาจมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังตามการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเริ่มต้นขึ้น และกระแสเงินทุนต่างประเทศเสี่ยงไหลออก โดยประเมินสิ้นปีนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 35.60 บาท/ดอลลาร์
  • อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เผยได้รับการจัดสรรงบลงทุนในปีงบประมาณ 2561 ราว 9,614 ล้านบาท เพื่อขยายการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ของท่าอากาศยานขอนแก่น วงเงินประมาณ 2,954 ล้านบาท คาดว่าหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะรองรับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ได้เป็น 11 ลำ จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 ลำ รองรับผู้โดยสารได้ 5 ล้านคน จากเดิม 2 ล้านคน
  • ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า ภายในเดือน ส.ค.นี้ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเสนอผลการศึกษาโครงการนำร่องผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่อยู่อาศัยแบบเสรี (โซลาร์รูฟท็อปเสรี) จากนั้น พพ.จะสรุปเพื่อนำเสนอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาในระดับนโยบายภายในเดือน ก.ย.ต่อไป
  • คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมเสนอวาระสำคัญให้รัฐบาลพิจารณาการดำเนินการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ให้บูรณาการสอดรับกันอย่างเป็นระบบ เนื่องจากขณะนี้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานแต่ละประเภท เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง การสร้างถนน การขยายพื้นที่สนามบิน การสร้างท่าเรือ มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ จึงต้องการให้มาหารือออกแบบจุดเชื่อมต่อระหว่างกันก่อนการก่อสร้าง เพราะเกรงว่า จะเกิดปัญหาลักษณะเดียวกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง ระหว่างสถานีเตาปูน และสถานีบางซื่ออีก

*หุ้นเด่นวันนี้

  • CPNRF (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 23 บาท มีมุมมองเชิงบวกต่อการแปลงสภาพจาก Property Fund เป็น REIT ซึ่งจะมีการซื้อสินทรัพย์เพิ่มใน 4Q60 สนับสนุนกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น และคาดสามารถให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8.4-9.3% ในปี 2561-2562
  • BCH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16.50 บาท เป็น Top Pick ของกลุ่ม จาก Valuation ที่น่าสนใจ PEG 2.5 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 3-4 เท่า และสร้าง ROE ได้ 14% มากว่ากลุ่มที่ 11% ถือเป็นหุ้นที่เหมาะเป็นแหล่งพักเงินในช่วงตลาดไร้ทิศทาง เพราะมีค่าเบต้า 0.80 เท่า ต่ำกกว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่ 0.9 เท่า ขณะที่ กำไรสุทธิ 2H60 คาดโตในอัตราเร่งทั้ง H-H และ Y-Y จาก High Season และได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มเงินประกันสังคม
  • TKN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 24 บาท แนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรใน 2H60 จะเร่งตัวขึ้น จากกำลังการผลิตที่เพิ่มและต้นทุนสาหร่ายที่เริ่มนิ่ง ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-2561 ที่ +21% Y-Y และ +25% Y-Y ตามลำดับ แต่ปรับ PE กลับสู่ระดับ 35 เท่า จากก่อนหน้าที่ปรับลงเป็น 33 เท่า ภายหลังสถานการณ์ของบริษัทเริ่มดูดีขึ้น
  • TOP (ไอร่า) เป้า 108 บาท ค่าการกลั่นตลาดสิงคโปร์ ล่าสุด 8.67 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นระดับสูงสุด YTD คาดผลการดำเนินงาน 3Q/60 จะออกมาโดดเด่น จากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก และคาดจะไม่มีขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอีก ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและน้ำมันหล่อลื่นคาดทรงตัวจาก 2Q/60 นอกจากนี้คาดกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจะเข้ามาอย่างสม่ำเสมออีก ประมาณ 2,100 ล้านบาทต่อปี และโครงการเพิ่มกำไรของ TOP ในช่วง 1H/60 เห็นผลชัดเจน สามารถเพิ่มกำไร ประมาณ 2,129 ล้านบาท หลัก ๆ จากการใช้น้ำมันดิบชนิดใหม่ ๆ ในการกลั่น รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการการกลั่น (LP Upgrading program)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ