นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (21-25 ส.ค.) จะเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบแคบ ๆ ประเมินกรอบ SET Index บริเวณ 1,556-1,584 จุด โดยนักลงทุนรอดู 2 ปัจจัยหลักที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ในวันศุกร์ที่ 25 ส.ค. นี้ หากผลตัดสินออกมาไม่ได้ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อทิศทางการเมืองในอนาคต คาดจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในวันศุกร์
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 24-26 ส.ค.นี้ โดยถูกคาดหมายว่าเฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะแสดงความเห็นที่ชัดเจนต่อนโยบายการเงินของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ถ้าผลออกมาว่าธนาคารกลางทั้งสองแห่งไม่รีบที่จะลด QE ลงอย่างเร็ว คาดจะออกมาเป็นบวกต่อตลาดหุ้น
ส่วนปัจจัยอื่น ๆ รองลงมา ได้แก่ การที่คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ลาออก ส่งผลต่อโครงการด้านสาธารณูปโภค 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อาจล่าช้านั้น เป็นลบทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐ แม้จะทำให้เฟดอาจยืดการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอยู่ต่อไปรวมไปถึงสถานการณ์เกาหลีเหนือ และการก่อการร้ายในยุโรป ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน
นายวิน กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านช่วงของการรายงานผลประกอบการ และจะมีหุ้นที่ทยอยขึ้นเครื่องหมาย "XD" ก็จะทำให้ตลาด Sideway ในกรอบแคบ ๆ การลงทุนภาพรวมจึงยังแนะนำชะลอการลงทุน หรือเลือกลงทุนแบบรายตัว (selective buy) เน้นปัจจัยบวกเฉพาะตัวและเข้าลงทุนเพียงกรอบเวลาสั้น ๆ
ทั้งนี้ KTBST แนะนำหุ้นหุ้นในกลุ่มอิงเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก หรือหุ้นอื่นๆ หากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หรือตัวเลขส่งออกออกมาดีคาดจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนี้ด้วย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาระดับหนึ่งแล้ว โดยในวันนี้ (21 ส.ค.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จะรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 2/60 และระหว่างสัปดาห์ จะมีตัวเลขส่งออก และรายงานยอดขายรถและส่งออกรถยนต์ของไทย
ขณะที่หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีนั้น จากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก อาจต้องไปรอดูราคาผลิตภัณฑ์รายสัปดาห์ ที่จะมีการเปิดเผยวันอังคาร เพื่อดูว่าควรถือหรือขายทำกำไร หรือแม้กระทั่งหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ (น้ำมัน-โรงกลั่นน้ำมัน) ราคาหุ้นเลือกเล่นได้เพียงบางตัว อาทิ TOP และ ESSO ขณะที่หุ้นกลุ่มถ่านหิน (BANPU , LANNA) ราคาหุ้นแทบไม่สนองตอบต่อราคาถ่านหินที่ปรับขึ้นไป 98 เหรียญสหรัฐ/ตัน อาจเป็นเพราะค่าระวางเรือที่ปรับตัวขึ้นมาด้วย สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้แก่ PSL , GFPT, HFT , AAV, UTP หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค ได้แก่ TPCH, RJH, SVI, MALEE