โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) แม้ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ของปี 60/61 (เม.ย.-มิ.ย.60) ทำได้เพียง 286 ล้านบาท ลดลงราว 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เชื่อว่าจะเป็นไตรมาสต่ำที่สุดของปี และมีโอกาสพลิกฟื้นในไตรมาสถัด ๆ ไป จากทั้งภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและกำลังการผลิตฟื้นตัว โดยคาดว่าจะกลับมาปรับตัวดีขึ้นอย่างชีดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 60/61
แนวโน้มงวดไตรมาส 2 (ก.ค.-ก.ย.60) จะดีขึ้นได้ต่อเนื่อง จากธุรกิจภายใต้แบรนด์ AEROFLEX และ AEROKLAS ที่เติบโตดีขึ้น ขณะที่สินค้าที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ "AERO-ROOF" ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาได้รับการตอบรับจากต่างที่ค่อนข้างดี นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัท TJM Producr PTY Ltd (TJM) ซึ่งทำธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์ 4WD จะมีผลขาดทุนลดลงและอาจเริ่มพลิกเป็นกำไรได้
ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มของบริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด (EPP) คาดว่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังยังได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัว และในไตรมาสนี้ยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่เริ่มได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลดลง
ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่อ่อนแอไปแล้ว จนทำให้มี Upside และน่าสนใจในการลงทุน
ราคาหุ้น EPG พักเที่ยงอยู่ที่ 10.50 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.94% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.30%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เออีซี ซื้อ 12.60 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 12.40 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 16.00 บัวหลวง ถือ 12.40
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ยังคงประมาณกำไรของ EPG ปี 60/61 และ ปี 61/62 จะเติบโต 14.7% และ 13.9% ตามลำดับ แม้ว่ากำไรสุทธิงวดไตรมาส 1 ของปี 60/61 จะคิดเป็นเพียง 18% ของประมาณการทั้งปี 60/61 ก็ตาม เนื่องจากเชื่อว่าจะเป็นไตรมาสที่มีผลงานต่ำสุดของปี และแนวโน้มในช่วงที่เหลือจะค่อย ๆ ฟื้นตามการบริโภคและตามฤดูกาลการจับจ่ายใช้สอย
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจจะเป็นผลกระทบเหมือนช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และการชะลอของเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ และการแข่งขันด้านราคา
ขณะที่ EPG ยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์ครอบกระบะ (Canopy) เป็น 34,000 ชิ้น/ปี จากเดิม 28,000 ชิ้น/ปี รองรับความต้องการที่สูงขึ้น
"เรายังคงมีมุมมองเชิงบวก และมองว่าเป็นโอกาสในการซื้อลงทุน ซึ่งเรายังคงประมาณการกำไรยังจะสามารถเติบโตได้ตามที่คาด แม้ว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมากำไรของ EPG จะลดลงเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการจับจ่ายในประเทศ ซึ่ง EPG ได้รับผลกระทบหลักจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ลดลง ตามกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ และมีการแข่งขันด้านราคา แต่อย่างไรก็ตามเรามองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามการบริโภคและฤดูกาล"นางสาวจิตรา กล่าว
ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปรับราคาเป้าหมายสำหรับหุ้น EPG ในปีนี้ลงเป็น 12.40 บาท จากเดิมที่ 14 บาท เนื่องจากปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิงวดปี 60/61 ลงจากเดิม 13% เป็น 1,384 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน หลังกำไรในไตรมาสแรกทำได้ต่ำกว่าคาด และแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 คาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ได้ปรับคำแนะนำสำหรับหุ้น EPG เป็น "ซื้อ" จากเดิม "ถือ"หลังจากราคาหุ้น EPG ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากจนมี Upside เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1 ของปี 60/61 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2 เนื่องจากธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็นภายใต้แบรนด์ AEROFLEX และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS ที่เติบโตดีขึ้น โดยในส่วนของ AEROFLEX ยังคงมีการเติบโตได้ดีในตลาดต่างประเทศ ที่มีการมุ่งเน้นขยายตลาดในเอเชียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากจีนที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นมาก ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ "AERO-ROOF" ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาก็ได้รับการตอบรับจากต่างที่ค่อนข้างดี ขณะที่ AEROKLAS คาดว่าจะได้ผลบวกจากยอดผลิตรถยนต์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น และตลาดต่างประเทศ พยายามมุ่งเน้นเจาะตลาดจีนเพิ่มขึ้น ส่วน TJM คาดว่าจะขาดทุนลดลงและอาจเริ่มพลิกเป็นกำไรได้ จากแผนการทำตลาดและการขยายสาขามากขึ้น หลังจากปีก่อนได้มีการทยอยลงทุนและปรับปรุงรูปแบบร้านค้าใหม่ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์ครอบกระบะด้วย
ด้านธุรกิจ EPP ซึ่งเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม คาดทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ยังลดลงจากงวดปีก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของ EPG จะยังปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในส่วนของ EPP ยังคงได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัว และในไตรมาสนี้ยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ก็จะเริ่มได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานของ EPG จะกลับมาปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 60/61 จากการเติบโตของทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยเฉพาะธุรกิจ EPP ที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว จากกำลังซื้อที่น่าจะฟื้นตัวตามปัจจัยฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ นอกจากนั้น ยังปรับกลยุทธ์เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น ประกอบกับคาดว่าจะได้รับผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ
บทวิเคราะห์ บล.เออีซี ระบุว่าแม้ผลประกอบการของ EPG ช่วงไตรมาส 1 ปี 60/61 ออกมาไม่ดีนัก แต่ยังมองว่ามีโอกาสที่จะปรับดีขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป จากทั้งภาวะอุตสาหกรรมที่คาดดีขึ้นและกำลังการผลิตที่ฟื้นตัว อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงจนมี Upside 20% จากมูลค่าพื้นฐานปี 60/61 ที่ 12.60 บาท (อิง PER 23.7x) คาดว่าสะท้อนผลดำเนินงานที่ออกมาย่ำแย่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 60/61 แล้ว