บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการประกันวินาศภัยจำนวน 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 300 ล้านบาท และคาดว่าจะสรุปผลได้ในช่วงเดือนต.ค.นี้ รวมถึงยังได้ยื่นข้อเสนอซื้อหนี้เสียซึ่งเป็นพอร์ตขนาดใหญ่ มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทเข้ามาบริหารด้วย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนก.ย.นี้
ส่วนการขยายโอกาสของธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV นั้น คาดว่าภายในปี 61 จะได้รับใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจการบริหารหนี้และจะสามารถซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพื่อขยายธุรกิจในกัมพูชา จากเดิมที่เข้าไปเปิดกิจการรับทวงหนี้ พร้อมเตรียมขยายการลงทุนไปยังลาวและเวียดนามต่อไป
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ JMT กล่าวว่า สำหรับรายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโต 30% จากปีก่อน หลังครึ่งปีแรกสามารถทำรายได้เติบโตไปแล้วกว่า 60% และในช่วงครึ่งปีหลังรายได้จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้หนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาบริหาร และความสามารถในการจัดเก็บหนี้ได้ตามมาตรฐาน
ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตบริหารหนี้มูลค่ารวมประมาณ 1.20 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่ซื้อมาจำนวน 108 กอง พร้อมกับซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารไปแล้วกว่า 1.11 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปีนี้พอร์ตบริหารหนี้ทะลุเป้าหมาย 1.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อซื้อหนี้เพิ่มอีก เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ มาเสนอขายหนี้มูลค่าราว 2 แสนล้านบาท โดยหนี้จะมีอยู่ในกลุ่มบ้าน โรงแรม และกิจการเอสเอ็มอี ซึ่งบริษัทได้เสนอราคาเพื่อที่จะซื้อหนี้ก้อนดังกล่าวแล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากการเสนอราคาในครั้งนี้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ บริษัทก็จะเปลี่ยนเป็นวิธีการเลือกซื้อหนี้บางส่วนของมูลค่าทั้งหมดแทน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน ก.ย. นี้
"ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเราเติบโตได้ค่อนข้างดี และเราก็เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเรายังสามารถเก็บหนี้ได้ตามมาตรฐาน และด้วยเรามีการคัดเลือกหนี้ที่ซื้อเข้ามาได้ค่อนข้างดีและมากขึ้นก็ทำให้เราสามารถที่จะเก็บหนี้ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งปีนี้โดยรวมรายได้เราอาจจะเติบโตได้ถึง 45% เกินเป้าหมายที่เราวางไว้ที่จะเติบโตได้ 30%"นายปิยะ กล่าว
นายปิยะ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในประเทศกัมพูชา และคาดว่าจะเริ่มซื้อหนี้เข้ามาบริหารได้ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป โดยในช่วงปีแรกคาดว่าจะซื้อหนี้เข้ามาราว 1 พันล้านบาท ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 3 พันล้านบาท/ปี และเพิ่มเป็น 5 พันล้านบาท/ปีภายใน 5 ปี ซึ่งในปีนี้บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าไปศึกษาการให้บริการจัดเก็บหนี้ และการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในประเทศลาว และเวียดนาม โดยคาดว่าจะสามารถเข้าไปเริ่มดำเนินกิจการได้ภายในปี 61
"เราได้ทำการศึกษามาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มประเทศ CLMV ถึงเรื่องคุณภาพหนี้ และเราเห็นว่าหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราก็จะนำโมเดลธุรกิจของประเทศไทย ในการเข้าไปขยายในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถทำให้เราเติบโตได้ต่อไป"นายปิยะ กล่าว