นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) คาดว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะสามารถทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.45 หมื่นล้านบาทได้เล็กน้อย เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่และทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สถานีพระนั่งเกล้า-เจ้าพระยา, ศุภาลัย วิสต้า ห้าแยกปากเกร็ด, ศุภาลัย ลอฟท์ แจ้งวัฒนะ, ศุภาลัย เวอเรนด้า รัชวิภา-ประชาชื่น และศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท ระยอง ซึ่งทั้ง 5 โครงการมียอดขายเฉลี่ย 80-90% ต่อโครงการ
โดยบริษัทคาดว่าจะมียอดโอนเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังราว 1.03 หมื่นล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมดในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3.74 หมื่นล้านบาท โดยการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่เข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับการเปิดขายโครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีหลังที่มีจำนวนมากถึง 18 โครงการ ซึ่งโครงการแนวราบหลังเปิดขายแล้วก็จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในทันที และจะทำให้รายได้ของบริษัทกลับมาเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง จากที่ครึ่งปีแรกรายได้ลดไป 22% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 59 หรือมีรายได้อยู่ที่ 9.88 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันแนวโน้มของยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่ทำยอดขายได้ 1.33 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มมากขึ้นจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมเกือบ 1 หมื่นล้านบาท โดยได้เปิดโครงการศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ มูลค่า 4.4 พันล้านบาท ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้ว 55%
และเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.5 พันล้านบาท ได้แก่ ศุภาลัย ลอฟท์ แยกไฟฉาย, ศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู และศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ซึ่งจะเปิดขายพร้อมกันในช่วงเดือนก.ย.นี้ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายของทั้ง 3 โครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าวถึงสิ้นปีทำได้มากกว่า 50% และจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันยอดขายของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย 2.7 พันล้านบาท
ส่วนภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ของไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมองว่าจะเติบโตได้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบเริ่มทยอยเปิดโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป อีกทั้งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้ซื้อ และเป็นผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตไปตามทิศทางเดียวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ปัจจัยกดดันที่ยังต้องติดตามในเรื่องของกำลังซื้อและการตัดสินใจซื้อในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน และมีแนวโน้มที่ยังชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ยังมองว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนยังมีอยู่ค่อนข้างมาก และการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆของภาครัฐ ทำให้มีความสนใจการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในทำเลตามแนวรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อยังมีแนวโน้มที่ทรงตัวจากครึ่งปีแรก โดยในส่วนของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 8% ในครึ่งปีแรก ซึ่งบริษัทยังมองว่าสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อในระดับหนึ่ง เพราะสถาบันการเงินยังคงป้องกันความเสี่ยงของหนี้เสียที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ส่วนการขายอาคารสำนักงานของบริษัทในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มูลค่าที่บริษัทซื้อมาราว 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท ศุภาลัย ฟิลิปปินส์ จำกัด บริษัทย่อยของ SPALI โดยปัจจุบันได้ข้อสรุปการขายให้กับผู้ที่สนใจแล้ว และคาดว่าจะบันทึกกำไรเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/60 ซึ่งบริษัทมีกำไรจากการขาย 20% จากต้นทุนที่บริษัทซื้อมา