ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ที่ระดับ “A" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A" เช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2560
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่าง ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่ช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศที่สูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลาง
PS เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั้นนำของประเทศ ซึ่งก่อตั้งในปี 2536 โดยนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2548 ภายหลังจากการซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทตามกระบวนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามแผนการปรับโครงสร้างกิจการเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน 2559 แล้ว บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 97.9% ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ได้มีการจดทะเบียนหุ้นสามัญของ PSH ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนหุ้นสามัญของบริษัทซึ่งถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในคราวเดียวกัน ครอบครัววิจิตรพงศ์พันธุ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PSH ในสัดส่วน 75% ณ เดือนมิถุนายน 2560
หลังการปรับโครงสร้างกิจการ บริษัทยังคงเน้นการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขายโดยสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานทั้งหมดและคณะผู้บริหารหลักยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของกลุ่มบริษัทในอีกหลายปีข้างหน้า บริษัทจึงถือเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่ม ดังนั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้ โครงสร้างกิจการใหม่ภายใต้ PSH นี้จะทำให้กลุ่มบริษัทมีความคล่องตัวในการขยายไปยังธุรกิจใหม่และเปิดโอกาสในการหาผู้ร่วมทุน
ในช่วงต้นปี 2560 PSH ได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลวิมุตติ อินเตอร์เนชั่นแนล" ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 4,900 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ถึงปี 2562 โดยแหล่งเงินลงทุนจะมาจากเงินกู้ยืม 50% และจากทุนอีก 50% ทั้งนี้ คาดว่าโรงพยาบาลจะเริ่มดำเนินการและมีรายได้เข้ามาในช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัทในอนาคต
ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เป็นจำนวนมากเกือบ 200 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยทาวน์เฮ้าส์ (คิดเป็น 45% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด) คอนโดมิเนียม (30%) และบ้านเดี่ยว (25%) โดยบริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มขยายเข้าสู่กลุ่มสินค้าในระดับราคาที่สูงขึ้นซึ่งความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้ยังดีอยู่
ยอดขายของบริษัทในปี 2559 เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนเป็น 44,414 ล้านบาท ยอดขายในครึ่งแรกของปี 2560 เท่ากับ 26,150 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดขายจากคอนโดมิเนียมเติบโตมากที่สุด ในขณะที่ยอดขายจากทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และโครงการในต่างประเทศลดลง รายได้ในปี 2559 ลดลง 8% มาอยู่ที่ 46,926 ล้านบาท รายได้ของบริษัทในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาสูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ รายได้ของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 เท่ากับ 20,554 ล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ รายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2560 ส่วนหนึ่งจะมาจากยอดขายที่รอการส่งมอบมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายรอการส่งมอบที่เหลืออีก 14,000 ล้านบาทนั้นจะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงปี 2561-2562
อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ที่ 20%-21% ในช่วงปี 2555-2558 และลดลงมาเป็น 17% ในช่วงปี 2559 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 39% ณ เดือนธันวาคม 2559 จาก 42%-49% ในช่วงปี 2555-2558 อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 44% ณ เดือนมิถุนายน 2560 แม้ว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวและมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทและของกลุ่มบริษัทควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ระดับ 27% ในปี 2559 และ 22% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 21,000 ล้านบาท (รวมวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้ซึ่งสามารถเบิกใช้ได้ทันทีประมาณ 10,000 ล้านบาท) ณ เดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 13,000 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอรับรู้รายได้จำนวนมากได้ตามแผนและจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนทั้งของบริษัทและของ PSH ให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50%
แนวโน้มอันดับเครดิตในอนาคตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทเองและสถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัท หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัท ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากการลงทุนในธุรกิจใหม่ของบริษัทโฮลดิ้งส่งผลให้สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทอ่อนแอลง