นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินแนวโน้มหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (28 ส.ค.-1 ก.ย.) จะแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ ในกรอบ 1,566-1,590 จุด แต่มีแนวโน้มเป็นบวกได้ หลังได้ปัจจัยหนุนจากในประเทศ โดยเฉพาะการประมูลรถไฟทางคู่ในสัปดาห์นี้ รวมถึงต่างประเทศที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ทั้งนี้ ดัชนีมีโอกาสเดินหน้าต่อหลัง 2 ตัวแปร คือ คดีจำนำข้าวและการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ผ่านไป โดยสองตัวแปรนี้น่าจะเป็นบวกสั้นต่อตลาดหุ้น ตลาดรับรู้ปัจจัยลบไประดับหนึ่งโดยเฉพาะเรื่องกำไรตลาดที่ลดลง ทำให้ Downside ของตลาดมีน้อยลง ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ จากการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานธนาคารกลางสองแห่ง คือ เฟด และ ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณในการลด QE ตลาดจึงตีความว่าจะยังคงใช้นโยบายเดิมไปอีกระยะหนึ่ง โดยการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 20 ก.ย. จึงน่าจะคงดอกเบี้ยไว้
KTBST ประเมินว่าตลาดหุ้นและพันธบัตรหลายแห่ง น่าจะมีเม็ดเงินกลับเข้าตลาด โดยเฉพาะตลาดพันธบัตร ขณะที่การแข็งค่าของเงินค่าเงินบาทไม่น่าจะแข็งต่อเนื่อง แต่ก็จะอ่อนลงได้ไม่มากนัก เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นส่งออกหรือตัวเลขส่งออก ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นจะลดความกังวลในเรื่องนี้ลง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในประเทศยังมีแนวโน้มเป็นบวกจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.) จากรายงานขาดดุลที่ออกมาและค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบค่าเงินสกุลหลัก มองว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เป็นบวกต่อกลุ่มส่งออก 2.) ปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นจากเรื่องคดีจำนาข้าวได้น้อยลงไป 3.) การเปิดประมูลโครงการรถไฟทางคู่ ปัจจุบันมีโครงการรถไฟทางคู่จะเปิดประมูลอีก 3 โครงการรวมมูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท โดยรถไฟสายประจวบฯ-ชุมพรมูลค่า 12,000 ล้านบาทจะเปิดประมูลในวันที่ 31 ส.ค.นี้ และ 4) การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการอนุมัติมาตรการช่วยผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ
สำหรับกลยุทธ์ลงทุน แม้ทิศทางตลาดจะดีขึ้นแต่การแกว่งตัวในแต่ละวันจะยังคงอยู่ในกรอบแคบ ๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด นักลงทุนยังคงเล่นแบบสับเปลี่ยนกลุ่มไปมาเนื่องจากไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าตลาด ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังไม่กลับมาซื้อหุ้น การลงทุนจึงต้องเล่นตามตลาด เน้นเก็งกำไรช่วงสั้น รวมทั้งเลือกหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ที่ 1,566-1,590 จุด
โดยคาดว่านักลงทุนน่าจะเข้าลงทุนวนอยู่ในหุ้นกลุ่ม พลังงาน-ปิโตรเคมี-เทคโนโลยี และหุ้นมีข่าวบวกในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่มธนาคาร เป็นกลุ่มที่จะสลับเข้ามาเพียงบางวัน หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BEM , HANA , VNT , SIS , LPN