หุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันเทรดคึกคักต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 11.34 น.หุ้น PTTGC ปรับขึ้น 0.75 บาท หรือ 0.99% มาที่ 76.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 472.04 ล้านบาท ราคาเปิดตลาดที่ 76 บาท ราคาทำระดับสูงสุดที่ 76.75 บาท และทำระดับต่ำสุดที่ 75.50 บาท
หุ้น ESSO ปรับขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.83% มาที่ 12.10 บาท
หุ้น TOP ปรับขึ้น 1.50 บาท หรือ 1.63% มาที่ 93.25 บาท
หุ้น IRPC ปรับขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.85% มาที่ 5.95 บาท
หุ้น SPRC ปรับขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.61% มาที่ 16.40 บาท
หุ้น BCP ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 38.25 บาท
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ ส่งผลค่าการกลั่นปรับพุ่งแรง เป็นบวกต่อหุ้นบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ,บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และบมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) โดยกลุ่มโรงกลั่นได้รับอานิสงส์จากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ บริเวณอ่าวเม็กซิโก ทำให้โรงกลั่นในรัฐเท็กซัสและบริเวณอ่าวเม็กซิโกต้องปิดตัวลงชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้ Supply น้ำมันดิบและสำเร็จรูปหายไปในระยะสั้น ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.62 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือ 7.41% มาอยู่ที่ 9.00 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มโรงกลั่นทั้งบมจ.ไทยออยล์ (TOP) , BCP , PTTGC , IRPC ,บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) และบมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC)
ทั้งนี้ ประเมิน PTTGC ,IRPC และ BCP มีแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังปี 2560 ที่จะดีกว่าครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม IRPC และ BCP ราคาหุ้นได้ขึ้นตอบรับต่อค่าการกลั่นมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ส่วน PTTGC นั้นเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม เพราะนอกจากจะมี Upside เหลือให้เก็งกำไรมากกว่าหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่ม ทิศทางของกำไรก็มีแนวโน้มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในงวดไตรมาส 2/60 อีกทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็อยู่ในระดับที่ดี โดยคาดไว้ที่ 3% ในปี 60