นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาแรงด้วยมูลค่าการซื้อขายเกือบแสนล้านบาทเมื่อวานนี้ว่า ถือเป็นครั้งแรกที่นักลงทุนต่างประเทศเริ่มมองเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมี Momentum จากการฟืนตัว โดยอาจจะมองจากตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีการประเมินในช่วงที่ผ่านมา
ประกอบกับ ความกังวลทางการเมืองคลี่คลายลงไป ขณะที่สภาวะแวดล้อมในภูมิภาคค่อนข้างเคร่งเครียด แต่แตกต่างกับบรรยากาศในประเทศไทย ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งเงินที่เข้ามาลงทุนถือว่าเป็นเงินลงทุนที่แท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ดังนั้น จึงต้องพยายามรักษาสภาวะแบบนี้เอาไว้ โดยรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนต่างๆ ออกมามากขึ้น
"เป็นผลมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 60 ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ดุลยพินิจของนักลงทุนต่างชาติปรับดีขึ้นไปด้วย รวมทั้งที่เคยกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่กลัวว่าอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีก ก็อยู่ในภาวะปกติ มีเสถียรภาพ ทำให้ความกังวลคลี่คลายลงไป รวมทั้งปัญหาการเมืองในภูมิภาค ทำให้เงินทุนไหลไปในประเทศที่มีความปลอดภัย ซึ่งไทยก็ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปด้วย"นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวอีกว่า เงินที่เข้ามาในตลาดหุ้นขณะนี้เป็น Real Money ซึ่งเป็นสิ่งมีประโยชน์ ถ้าไทยสามารถรักษาสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อไปได้ทั้งการส่งออกและการลงทุน เงินทุนก็จะไหลเข้าภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) เพิ่มขึ้น
"นักลงทุนมีความฉลาด รู้ว่าเราจะลงทุนโครงการอะไรบ้าง จะออกมาช่วงไหน คำนวณได้ว่าไทยมีโครงการอะไร ขณะที่การส่งออกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น พื้นฐานเศรษฐกิจไทยจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง นักลงทุนจึงสนใจ"
นายสมคิด ตอบข้อซักถามถึงโอกาสที่ดัชนี SET จะแตะ 1,700 จุดว่า "อย่าเพิ่งพูดถึงขั้นนั้น เพราะเมื่อ 19 ปีก่อนหุ้นไทยพุ่งสูงถึง 1,700 จุด ทุกคนก็ดีใจ แต่เงินลงทุนที่เข้ามา เป็นเงินร้อน (Hot Money) ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ดังนั้นนักลงทุน หากจะทำอะไรควรมีความระมัดระวัง รอบคอบ ใช้เหตุผล ไม่ใช่ฟังหมอดูแล้วก็มาซื้อหุ้น"