นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.พริมา มารีน (PRM) กล่าวว่า บริษัทได้นำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย (โรดโชว์) เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่ดีของบริษัท โดยที่ผ่านมานักลงทุนได้ให้การตอบรับที่ดีอย่างมาก เนื่องจาก PRM มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 11% ต่อปี และคาดว่าปีนี้ก็น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย เป็นไปตามการเพิ่มจำนวนเรือที่ทยอยรับมอบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การกำหนดราคาหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) คาดว่าจะทราบผลสำรวจดังกล่าวได้ในวันที่ 4 ก.ย.60 และจะสามารถกำหนดราคาขายหุ้น IPO ได้หลังจากนั้น พร้อมทั้งจะลงนามในสัญญาแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (Underwriter) ได้ภายในวันที่ 5 ก.ย.60 และจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้
"จากการเดินสายโรดโชว์ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยก็ให้การตอบรับที่ดี จากเป็นธุรกิจที่มีจุดเด่นไม่เหมือนใคร และไม่มีใครมาแข่งขันได้ ซึ่งมีขนาดการขนส่งมากขึ้น 2.5 แสนเดทเวทตัน ประกอบกับยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากปีก่อนมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 20% และอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 38%"นายแมนพงศ์ กล่าว
ด้านนายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ PRM กล่าวว่า จากการโรดโชว์ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดี เนื่องด้วยบริษัทมีจุดแข็งจากการเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่ทำธุรกิจขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลวทางเรือในประเทศไทย และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจตลาดต่างประเทศ รวมถึงมีการดำเนินงานมาอย่างยาวนานมากกว่า 30 ปี จึงมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการให้บริการ ทำให้ธุรกิจของบริษัทยังหาคู่แข่งที่จะมาเปรียบเทียบได้ยาก
นอกจากนี้ในส่วนของการดำเนินธุรกิจ บริษัทน่าจะได้รับผลดีจาก พ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทยฉบับใหม่ ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการเดินเรือในอ่าวไทย ต้องใช้เรือไทย ทำให้น่าจะส่งผลดีต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทมีสัดส่วนเรือในอ่าวไทยราว 3% ของจำนวนเรือทั้งหมดในอ่าวไทย ขณะเดียวกันน่าจะได้รับผลดีจากที่รัฐบาลจะเดินหน้าประมูลสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุ ทั้งแหล่งบงกช และแหล่งเอราวัณด้วย
อนึ่ง บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น คิดเป็น 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยแบ่งเป็น ส่วนแรกเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น ส่วนที่สองเป็นหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ Austin Asset Limited จำนวน 105 ล้านหุ้น และบริษัท นทลิน จำกัด 45 ล้านหุ้น
พร้อมกันนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปขยายกองเรือ และฟีทเรือ โดยตั้งเป้าจะมีเรือทั้งสิ้นจำนวน 40 ลำ ในปี 62 จากสิ้นปีนี้จะมีเรือทั้งสิ้นจำนวน 28 ลำ ซึ่งรวมถึงขยายเรือขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเหลว จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ไม่ถึง 1% วางงบลงทุนรวม 3 ปี (ปี 60-62) ที่ 15,000 ล้านบาท และนำไปใช้คืนหนี้เงินกู้จากสถาบันทางการเงินบางส่วนที่มีอยู่ 8,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 2 เท่า โดยหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ D/E ปรับลดลงไม่เกิน 1.5 เท่า
กลุ่มบริษัท เป็นผู้ให้บริการทางด้านการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเหลวอย่างครบวงจร โดยแบ่งเป็น 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเรือขนส่งฯ ,ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU ,ธุรกิจเรือ Offshore และธุรกิจบริหารเรือ โดยในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา (ปี 57-59) บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 57 มีรายได้จากการให้บริการราว 3,480.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 701.4 ล้านบาท ,ในปี 58 มีรายได้อยู่ที่ 3,892.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยที่ 831.2 ล้านบาท
ในปี 59 รายได้เติบโตมาอยู่ที่ 4,296.5 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,202.2 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ ก็คาดว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ตามจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง