นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) กล่าวว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้คาดว่าดัชนีฯมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากสัปดาห์ก่อน เนื่องจากการที่ SET Index ปรับตัวทะลุ 1,600 จุดในสัปดาห์ก่อนส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยระยะสั้น เจึงเชื่อว่าสัปดาห์นี้คาดน่าจะเห็นแรงขายทำกำไรช่วงสั้นเข้ามาในตลาด หลังจากพายุ Harvey ที่กำลังผ่านพ้นไป และยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด แต่ตัวแปรสำคัญคือ จะมีเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหรือไม่ หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยให้ค่อนข้างปรับตัวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดดินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
“กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ควรพิจารณาขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นมาแรงๆ และแนะนำให้นักลงทุนรอดูจังหวะการพักฐานของตลาด (ถ้ามี) ว่าดัชนีฯจะลงมาถึงระดับใด ระหว่าง 1,608-1,616 จุด โดยพิจารณาจากนักลงทุนระดับสถาบัน-ต่างประเทศ จะเข้ามาซื้อหุ้นต่อหรือไม่ สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในสัปดาห์นี้ จะเป็นกลุ่มที่ยังคง Laggard กับตลาด คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาขึ้นมาไม่มาก หรือหุ้นที่ถูกกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ KTBST ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีในสัปดาห์นี้ที่ 1,608-1,626 จุด"
นายวิน กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้มีปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามและมีอาจจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ ผลกระทบจากพายุ Harvey ยังส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ-ปิโตรเคมีอยู่ แต่นักลงทุนรับรู้ไปมากแล้ว โดยผลกระทบยังรุนแรงต่อเนื่องจนส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันหยุดผลิตลงประมาณ 4.3 ล้านบาร์เรลหรือคิดเป็น 23% ของกำลังการผลิตสหรัฐฯ ทำให้ดีมานด์ของน้ำมันดิบต่ำลง ราคาน้ำมันดิบจึงยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ราว 45-47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประเด็นดังกล่าวมีน้ำหนักไปในทางบวกต่อหุ้นไทย โดยเฉพาะปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หรือยืนในระดับสูงไปอีกระยะ
ขณะที่ประเด็นทางการเมืองสหรัฐฯมีแนวโน้มเป็นบวกมากขึ้นในเรื่องนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งมีรายงานจากรัฐมนตรีการคลังของสหรัฐว่านโยบายดังกล่าวอยู่ระหว่างการจัดทำแผนปฏิรูปเพื่อพลักดันนโยบายนี้เป็นกฎหมายบังคับใช้ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่ด้านกฎหมายปรับเพิ่มหนี้สาธารณะของสหรัฐฯยังคงไม่มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลต้องขยายให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดชำระหนี้และจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจ
ส่วนปัจจัยในประเทศไทยยังมีภาพเศรษฐกิจที่เป็นไปในทางบวกจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดี โดยธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของเดือน ส.ค. อยู่ที่ 100.64 ปรับตัวขึ้น +0.32% YoY และขยายตัว +0.11% จากเดือน ก.ค.60
ขณะที่จะมีการเปิดประมูลโครงการรถไฟทางคู่จำนวนมาก รวมมูลค่าประมาณ 41,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงรถไฟทางคู่สาย มาบกะเบา-จิระ สัญญา 3 มูลค่า 9,400 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 7 ก.ย., ประจวบฯ-ชุมพร สัญญา 1 และ 2 รวมมูลค่า 12,600 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 5 ก.ย., ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 1 มูลค่า 10,200 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 7 ก.ย., และ ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 2 มูลค่า 8,800 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 4 ก.ย. รวมไปถึงในสัปดาห์นี้คาดว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการอนุมัติมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว