โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ขณะที่มองกำไรปีนี้มีแนวโน้มเติบโตดีจากปีที่แล้ว จากผลการดำเนินของโรงไฟฟ้าหงสาในลาวเดินเครื่องได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าครบ 3 เฟสตั้งแต่ไตรมาส 1/59 รวมถึงยังรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้านวนคร (NNEG) ที่ถือหุ้นอยู่ 40% ได้เต็มปี ซึ่งจะชดเชยรายได้ของโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักของที่จะลดลงตามอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ด้วย
นอกจากนี้ ในอนาคต RATCH ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตจากโครงการผลิตในต่างประเทศ ทั้งโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน และโครงการใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งในลาว อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งหากเป็นไปตามแผนจะทำให้ RATCH มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8% ในช่วงปี 60-66
ขณะเดียวกัน RATCH ยังเป็นหนึ่งในหุ้นปันผลดี โดยประมาณการว่าปีนี้จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) ในระดับมากกว่า 4%
ราคาหุ้น RATCH พักเที่ยงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 55.50 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 0.03%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 60 เคจีไอ (ประเทศไทย) Outperform 64 ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ซื้อ 61 ธนชาต ซื้อ 58 ทรีนีตี้ ซื้อ 61 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ถือ 56
นักวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ RATCH จะยังคงเติบโตดีในช่วง 2-3 ปีนี้ จากโรงไฟฟ้าใหม่ในมือที่จะทยอยเข้าระบบต่อเนื่อง ขณะที่ระยะสั้นภายในปีนี้จะได้รับผลบวกจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าหงสาที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นมาก และการรับรู้ผลการดำเนินงานได้เต็มปีของโรงไฟฟ้า NNEG ซึ่งจะเข้ามาผลักดันให้กำไรหลักในปีนี้เพิ่มขึ้นราว 26% จากปีที่แล้วมาอยู่ที่ระดับ 7.22 พันล้านบาท
ส่วนในปีหน้าคาดว่ากำไรหลักของ RATCH จะเติบโตอีกราว 3% จากปีนี้มาที่ 7.46 พันล้านบาท จากการเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมเมาท์เอเมอรัลด์ในออสเตรเลีย กำลังผลิตตามการถือหุ้น 144.36 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตของกำไรในปีหน้าอาจจะชะลอตัวลงจากปีนี้ เนื่องจากมีฐานค่อนข้างสูงแล้ว
นอกจากนี้ RATCH ยังเป็นหนึ่งในหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลในระดับสูง โดยประเมินปีนี้การจ่ายปันผลที่ระดับ 2.40 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4.3% ซึ่งนับเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุน
"การเติบโตในช่วง 2-3 ปีนี้มีทิศทางที่ดี จากโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะทยอยเข้าระบบ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าในต่างประเทศหลาย ๆ โครงการซึ่งจะเป็นตัวหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น ปีหน้าก็จะมีโครงการพลังงานลมที่ออสเตรเลียเข้ามา ขณะที่ในปีนี้ได้แรงหนุนจากโรงไฟฟ้าหงสาที่เดินเครื่องได้ดีขึ้น และรับรู้โรงไฟฟ้านวนครเต็มปี"นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่ามีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นกับแนวโน้มผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าหงสาในปีนี้ อิงจากค่าความพร้อมจ่ายเทียบเท่า (Equivalent Availability Factor :EAF) ในไตรมาส 2/60 ที่ระดับ 87% ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ โดย EAF ในครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 79% และคาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่ดีราว 78% ในครึ่งปีหลัง ทำให้คาดว่า EAF ในปีนี้จะอยู่ที่ 78% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 75% โดย EAF ที่เพิ่มขึ้นจะหนุนให้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการหงสาในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.9 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของ RATCH ในปีนี้ขึ้นอีก 6.1% เป็น 6.6 พันล้านบาท จากแนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโครงการหงสา ซึ่ง RATCH ไม่เพียงแต่จะมีกำไรที่โตในอัตราที่น่าประทับใจเท่านั้น แต่คาดว่าจะยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในปีนี้สูงเป็นอันดับสองของกลุ่มที่ 4.9% ด้วย รองจาก บมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) ซึ่งเป็นหุ้นปันผล (dividend play) ที่ 6.8% โดย RATCH ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.15 บาท ซึ่งได้ขึ้น XD เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า RATCH ยังมีศักยภาพในการขยายพอร์ตการผลิตไฟฟ้าเทียบเท่าอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนร่วมทุนราว 7,300 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตที่ดำเนินการอยู่แล้ว 6,500 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตในอนาคตอีก 800 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง ซึ่งคิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าเทียบเท่า 191 เมกะวัตต์ ขณะที่ RATCH มีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าในปีนี้ให้ได้ตามเป้า 7,500 เมกะวัตต์ ก็จะต้องซื้อโครงการในประเทศหรือต่างประเทศเข้ามาในพอร์ตเพิ่มเติม
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรปกติของ RATCH ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ คิดเป็น 56% ของประมาณการทั้งปี ทำให้อาจจะทบทวนประมาณการกำไรในปีนี้ เนื่องจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าหงสาดีกว่าคาด หลังจากในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา RATCH รายงานกำไรปกติที่ระดับ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 46% จากไตรมาสก่อน โดยผลการดำเนินงานแข็งแกร่งอย่างมาก และดีกว่าที่ตลาดและธนชาต คาดถึง 31% และ 24% ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานของบริษัท ไฟฟ้าหงสา จำกัด (HPC) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้าหงสา สูงกว่าที่คาด
RATCH ถือหุ้น 40% ในโครงการโรงไฟฟ้าหงสา ที่มีขนาดกำลังผลิต 1,878 เมกะวัตต์ สามารถทำกำไรปกติในช่วงไตรมาส 2/60 ที่ระดับ 1 พันล้านบาท เทียบกับระดับ 537 ล้านบาทในไตรมาส 1/60 และ 490 ล้านบาทในไตรมาส 2/59 เนื่องจากทั้ง 3 หน่วยของโรงไฟฟ้าหงสามีการดำเนินงานที่ราบรื่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มดำเนินงาน
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 นับเป็นช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าหงสา ทำให้ไม่คาดว่ากำไรในช่วง 2 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ โรงไฟฟ้าหงสาจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเท่ากับไตรมาส 2 อย่างไรก็ตามประมาณการกำไรของโรงไฟฟ้าหงสาดูเหมือนว่าจะต่ำเกินไป เนื่องจากกำไรปกติของโรงไฟฟ้าหงสาในช่วงครึ่งแรกปีนี้ อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท คิดเป็น 81% ของประมาณการทั้งปีสำหรับโรงไฟฟ้าหงสา ดังนั้น จึงอาจจะทบทวนประมาณการกำไรสำหรับโรงไฟฟ้าหงสาใหม่ ซึ่งจะสะท้อนในกำไรของ RATCH ด้วย
บทวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล ระบุว่ายังคงประมาณการกำไรสุทธิของ RATCH ในปี 60 ไว้เท่าเดิมที่ 6.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% จากปีก่อน แม้ช่วงครึ่งปีแรกจะทำกำไรสุทธิได้ 3.6 พันล้านบาท คิดเป็น 58% ของกำไรสุทธิปี 60 เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะอ่อนตัวตามฤดูกาล ขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าหงสา ยังเพียงพอชดเชยรายได้โรงไฟฟ้าหลักของ RATCH ที่ลดลงตามอายุสัญญา PPA
อย่างไรก็ตาม หุ้น RATCH ยังถือว่า Laggard จากกลุ่ม อีกทั้งตามเป้าหมายของ RATCH ยังมีโอกาสหาการลงทุนใหม่จากโครงการในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในลาว อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งหากเป็นไปตามแผนมีกำลังการผลิต 1 หมื่นเมกะวัตต์ภายในปี 66 ก็จะทำให้ RATCH มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8% ระหว่างปี 60-66 และแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 5 ปีข้างหน้า ยังมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.2% ทำให้ RATCH ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน