ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ UV ที่ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 7, 2017 13:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ยูนิเวนเจอร์ (UV) ที่ระดับ “BBB+" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสินค้าของบริษัทที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการมีรายได้ที่แน่นอนจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และการสนับสนุนที่คาดว่าจะได้รับจากผู้ถือหุ้นสูงสุด

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกทั้งในโครงการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของกลุ่ม นอกจากนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงและภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

UV ก่อตั้งในปี 2523 ในฐานะผู้ผลิตสังกะสีออกไซด์ และในปี 2543 บริษัทได้เปลี่ยนไปดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักโดยลงทุนในโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2550 บริษัท อเดลฟอส จำกัด ได้ซื้อหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 51.6% ของหุ้นทั้งหมด และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีอำนาจบริหาร ต่อมาในเดือนมีนาคม 2560 บริษัทอเดลฟอสมีสัดส่วนการถือหุ้น 66.01% ในบริษัท เจ้าของกิจการของ บริษัทอเดลฟอสคือทายาทรุ่นที่ 2 ของครอบครัวตระกูลสิริวัฒนภักดีซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งภายใต้กลุ่มทีซีซี

สินค้าของบริษัทขยายจากคอนโดมิเนียมซึ่งพัฒนาโดย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ไปสู่บ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูงภายหลังจากการซื้อกิจการของบริษัทแผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ และ บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาจำนวน 35 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 8 โครงการที่พัฒนาโดยบริษัทแกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ และบ้านจัดสรร 27 โครงการที่พัฒนาโดยบริษัทแผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์และบริษัทกรุงเทพบ้านและที่ดิน โดยบริษัทมีมูลค่าเหลือขายของโครงการรวมทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง)

ยอดขายของบริษัทเติบโต 4% จากปีก่อนเป็น 11,570 ล้านบาทในปี 2559 ยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ยังคงเติบโตที่ระดับ 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 8,447 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายในโครงการบ้านจัดสรร รายได้รวมของบริษัทในปี 2559 อยู่ที่ 17,073 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 8,611 ล้านบาท รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยเติบโต 36% ในปี 2559 และ 13% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าสร้างรายได้จำนวน 1,300-1,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2557-2559 ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 4,700 ล้านบาทซึ่งจะทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2560 ถึงปี 2561 ทั้งนี้ จากแผนการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก รายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจึงคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรจะมีสัดส่วนอย่างน้อย 60% ของรายได้รวมของบริษัท

อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 15%-16% ในช่วงปี 2558 ถึงปี 2559 และ 19% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 จาก 11% ในปี 2557 ทั้งนี้ สัดส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงจึงคาดว่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ประมาณ 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเอาไว้ได้

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 33% ณ เดือนธันวาคม 2559 และ 37% ณ เดือนมิถุนายน 2560 จาก 60% ณ เดือนธันวาคม 2558 และ 62% ณ เดือนธันวาคม 2557 อัตราส่วนดังกล่าวในปัจจุบันต่ำกว่าในอดีตเนื่องจากบริษัทแผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์มีการเพิ่มทุนจำนวน 4,971 ล้านบาทในเดือนมกราคม 2559 และการให้เช่าช่วงอาคารสำนักงาน Park Ventures Ecoplex และ Sathorn Square แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (Golden Ventures Leasehold Real Estate Investment Trust -- GVREIT) ในเดือนมีนาคม 2559 เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนและการให้เช่าช่วงช่วยลดภาระในการกู้ยืมได้ส่วนหนึ่ง แม้ว่าบริษัทจะมีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุก แต่ก็คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับประมาณ 55% เพื่อให้สอดคล้องกับอันดับเครดิต

กระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากโดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 19% ในปี 2559 และ 25% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 จาก 9% ในปี 2558 และ 5% ในปี 2557 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 8-10 เท่าในช่วงปี 2559 ถึงครึ่งแรกของปี 2560 โดยเพิ่มขึ้นจาก 2-3 เท่าในปี 2556-2558 ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยตั๋วแลกเงินจำนวน 1,258 ล้านบาทและเงินกู้สำหรับโครงการที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีจำนวน 170 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีวงเงินรองรับจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ เงินสดในมือจำนวน 1,113 ล้านบาทและวงเงินสินเชื่อซึ่งยังไม่ได้เบิกใช้ซึ่งสามารถเบิกใช้ได้ทันทีอีกจำนวน 3,160 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาทต่อปีและอัตรากำไรจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ที่ประมาณ 15% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ในระดับประมาณ 55% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนประมาณ 1 เท่า

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เกินกว่า 60% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลงได้ ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตในอนาคตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบันในขณะที่บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% ได้ในระยะเวลาหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ