โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) หลังมองแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง จากแผนการขยายโรงแรมตามเป้าหมาย และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศที่ฟื้นตัว พร้อมชูโรงแรมราคาประหยัดแบรนด์ HOP INN จะเป็นหนุนศักยภาพการทำกำไรของ ERW อย่างมีนัยสำคัญ หลังมีอัตราการเข้าพักเกินจุดคุ้มทุนแล้ว และลูกค้าหลักเป็นกลุ่มคนไทยซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของปัจจัยฤดูกาลด้วย
ขณะที่โบรกเกอร์บางแห่ง เลือกหุ้น ERW เป็น Top Pick ของกลุ่มเนื่องจากได้ประโยชน์สูงสุดจากการมีธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว และไม่ถูกถ่วงจากธุรกิจอาหารที่ชะลอตัวตามการบริโภคเหมือนคู่แข่ง
หุ้น ERW ช่วงบ่ายอยู่ที่ 5.75 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 1.71% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.78%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) แอพเพิล เวลธ์ ซื้อ 6.50 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 7.00 เออีซี ซื้อ 6.20 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 6.50 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 6.40 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 6.50
นางสาวชาลี กือเย็น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดกำไรสุทธิของ ERW ในปีนี้จะเติบโตได้ราว 25% จากปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ที่เติบโตราว 6% ขณะที่คาดอัตราการเข้าพัก (OCC) ปีนี้จะอยู่ที่ 85% จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามามากขึ้น
นอกจากนี้หลังจากที่ได้เปิดตัว HOP INN ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมราคาประหยัดเมื่อ 3 ปีก่อน ปัจจุบันขนาดธุรกิจของ HOP INN ที่เพิ่มขึ้นกลายมาเป็นตัวทำกำไรที่มีนัยสำคัญให้กับกลุ่ม โดยรายได้ของ HOP INN คิดเป็นสัดส่วน 5% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรม อีกทั้ง ERW ยังมีแผนขยายกิจการ 5 ปี ที่จะเพิ่มจำนวนโรงแรม HOP INN ในประเทศไทยปีละ 10 แห่ง ซึ่งจะทำให้มีจำนวนโรงแรมทั้งหมดประมาณ 50 แห่งภายในปี 63 จาก 32 แห่งในปีนี้ ขณะที่มีแผนจะเพิ่มโรงแรม HOP INN ในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มอีก 12 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 2 แห่ง
"ในครึ่งหลังปีนี้ ERW ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากภาพการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เติบโตต่อเนื่อง และการขยายสาขาแบรนด์ HOP INN เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้เรายังคงคำแนะนำซื้อ"นางสาวชาลี กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอพเพิล เวลธ์ กล่าวว่า ผู้บริหาร ERW ยังคงเป้าหมายรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเติบโตได้ราว 10% เมื่อเทียบปีต่อปี และรายได้จากธุรกิจอาหารจะเติบโตได้ราว 8% โดยคาดแนวโน้มการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก จากการขยายโรงแรมได้ตามเป้าหมาย ซึ่ง ERW มีแผนขยายโรงแรมแบรนด์ HOP INN ในประเทศไทยจำนวน 10 แห่งในปีนี้ ส่งผลให้จะมีสาขาในปีนี้ทั้งสิ้นจำนวน 32 แห่ง ขณะที่สาขาในประเทศฟิลิปปินส์ จะอยู่ที่ 2 แห่งในปีนี้
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของ ERW ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะยังเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องตามทิศทางจำนวนนักท่องเที่ยว ขณะที่ผลกระทบจากน้ำท่วมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบจำกัดเนื่องจากมีเพียง HOP INN ที่จังหวัดสกลนครที่ถูกน้ำท่วมและมีการทำประกันภัยทรัพย์สินและธุรกิจหยุดชะงักคุ้มครอง ขณะที่ปี 61 คาดว่ากำไรปกติจะโตต่อเนื่องอีก 10.2% เป็น 551 ล้านนบาท
ทั้งนี้ เลือกหุ้น ERW เป็น Top Pick ของกลุ่มเนื่องจากได้ประโยชน์สูงสุดจากการมีธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว และไม่ถูกถ่วงจากธุรกิจอาหารที่ชะลอตัวตามการบริโภคเหมือนคู่แข่ง
บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า โรงแรมแบรนด์ HOP INN นับจุดเปลี่ยนที่ชัดเจน สร้างเสถียรภาพของกำไรรายไตรมาสให้กับ ERW ซึ่งปัจจุบัน HOP INN ทำอัตราการเข้าพักได้เกินจุดคุ้มทุนแล้ว โดยยืนได้ที่ระดับ 74% ในครึ่งแรกของปีนี้ เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 65% อีกทั้งมีชาวไทยเป็นลูกค้าหลักช่วยลดความผันผวนปัจจัยฤดูกาล ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ช่วยสร้างเสถียรภาพทางด้านกำไรรายไตรมาสต่อจากนี้ เห็นได้จากกำไรในไตรมาส 2/60 สูงถึง 50 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นผลขาดทุน
นอกจากนี้แผนการปรับปรุงห้องพักโรงแรม JW Marriott ในช่วงโลว์ซีซั่นของแต่ละปี เป็นเวลา 3 ปี (ปี 60-62) เบื้องต้นประเมินการปิดปรับปรุงห้องพักราว 152 ห้อง/ปี กระทบต่อรายได้ 448 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 22 ล้านบาท (ขณะที่ JW Mariott มี 380 ห้องสร้างรายได้รวม 1.1 พันล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ ราว 5% ) คิดเป็นเพียง 5% ของประมาณการกำไรสุทธิเท่านั้น แต่หลังเสร็จสิ้นการปรับปรุงจะทำให้ JW Mariott มีความโดดเด่นบนทำเลเพลินจิตอีกครั้ง