นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อโรงแรมในบาหลี เวียดนาม และพม่า เพื่อที่จะนำมาเสริมสินทรัพย์ที่เป็นโรงแรมของธุรกิจ Hospitality คือ บริษัท เอส โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) โดยบริษัทคาดหวังความชัดเจนของการลงทุนซื้อโรงแรมดังกล่าวในเร็วที่ชัด ซึ่งยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนได้
พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแผนนำ SHR เสนอขาย IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในช่วงปี 63 หลังจากที่มีมูลค่าสินทรัพย์ของ SHR เพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ที่เป็นโรงแรมมูลค่ารวมทั่งสิ้น 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โรงแรมที่เกาะสมุย, เกาะพีพี และอังกฤษ และมูลค่าสินทรัพย์ในปี 61 จะเพิ่มเป็น 1.7 หมื่นล้านบาทจากโครงการในมัลดีฟส์เฟสแรก 2 โรงแรมที่จะแล้วเสร็จภายในปี 61 ซึ่งบริษัทเชื่อว่ามูลค่าสินทรัพย์ของ SHR จะแตะ 2 หมื่นล้านบาทได้ก่อนปี 63 ซึ่งพร้อมต่อการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ไปใช้เพื่อการลงทุนในอนาคต
ส่วนการลงทุนอาคารสำนักงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเริ่มลงทุนโครงการอาคารสำนักงานแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ มูลค่าลงทุน 3-4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแห่งที่ 3 ของบริษัท จากปัจจุบันมี 2 แห่ง คือ อาคารซันทาวเวอร์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งสิ้นปีนี้จะมีพื่นที่เช่าเพิ่มเป็น 110,000 ตารางเมตร หลังจากโครงการสิงห์คอมเพล็กซ์ก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 60 และบริษัทตั้งเป้ามีจำนวนพื้นที่เช่าของอาคารสำนักงานเพิ่มเป็น 200,000 ตารางเมตรภายในปี 63
ขณะที่รายได้ไนปีนี้คาดว่าจะทำได้ 4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ 3.6 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีรายได้เข้ามาเสริมจากการขายโครงการบ้านเดี่ยวหรู "สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส" มูลค่าโครงการ 4.93 พันล้านบาท ราคาขายระดับ 100 ล้านบาท/ยูนิต ซึ่งมีลูกค้าได้แสดงความสนใจซื้อแล้ว และคาดว่าหลังจากการเปิดขายในช่วงปลายปีนี้จะสามารถโอนได้ทันที อีกทั้งยังจะมีรายได้จากการส่งมอบพื้นที่อาคารสำนักงานในโครงการสิงห์คอมเพล็กซ์ พื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ให้กับกลุ่มบุญรอด สัญญาเช่า 50 ปี ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะมีรายได้เข้ามา 1.9 พันล้านบาทในไตรมาส 4/60
นอกจากนี้ บริษัทยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันราว 8 พันล้านบาท จากการขายโครงการ THE ESSE ASOK และโครงการ THE ESSE SINGHA COMPLEX ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงปลายปี 61 และจะรับรู้รายได้เข้ามามากในปี 62 ซึ่งคาดว่ารายได้ในปี 62 จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีกในปี 63 ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ในปี 63 อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/60 มีมูลค่ารวม 1.9 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท 2 โครงการ คือ ดิ เอส แอท สุขุมวิท 36 มูลค่า 6.17 พันล้านบาท และ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส มูลค่า 4.93 พันล้านบาท รวมทั้งโครงการที่พัฒนาโดย บมจ. เนอวานา ไดอิ (NVD) 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรีริมแม่นำเจ้าพระยา บันยันทรี เรสซิเดนเซส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ มูลค่า 6 พันล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม เนอวานา ดีฟายน์ กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1.9 พันล้านบาท ซึ่งจะเน้นการทำตลาดแบบ Living Solution ให้กับกลุ่มไฮเอนด์และเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน
นายนริศ กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจในแบบ Property Development and Investment Holding Company ที่เน้นการพัฒนาธุรกิจต่างๆที่เข้าไปลงทุนให้มีความแข็งแกร่ง และมีความเติบโตต่อเนื่องเพื่อให้เกิดโอกาสและผลดีในทุกธุรกิจของบริษัท สามารถที่จะสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการพัฒนาธุรกิจแบบบูรณาการ เน้นการสร้าง Synergy โดยแผนการลงทุนของบริษัทมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเทรนด์ของธุรกิจในปัจจุบัน
การลงทุนของบริษัทมีหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยตั้งเป้าขยายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาทภายในปี 63 ประกอบด้วยธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคอมเมอร์เชียล (ธุรกิจค้าปลีก และอาคารสำนักงาน) ธุรกิจใหม่ๆ ที่สร้างโอกาสในอนาคต ซึ่งในส่วนของธุรกิจใหม่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบของธุรกิจใหม่