โบรกเกอร์แนะนำทั้ง"ซื้อ"และ"ถือ"หุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) มีมุมมองบวกที่จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งหลังปี 60 และดีต่อเนื่องในปี 61 รวมทั้งได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) และการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่เริ่มเห็นปลายปี 60 ถึงต้นปี 61 รวมทั้งยังเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลค่อนข้างดีราว 3-4%
แต่ยังกังวลเรื่องปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่แก้ไขล่าช้ากว่ารายอื่น โดยบางโบรกเกอร์มองว่าปัญหาหนี้ NPL จะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นหากปรับโครงสร้างหนี้ และ write-off หนี้เสียก้อนใหญ่ออกไป
ราคาหุ้น BBL อยู่ที่ 188 บาทเมื่อเวลา 15.20 น.เพิ่มขึ้น 2.00 บาท (+1.07%) ส่วน SET บวก 1.69%
เคจีไอ Outperform 220 ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 208 ทิสโก้ ถือ 195 ฟิลลิป ถือ 186 ซีไอเอ็มบี ถือ 180
นักวิเคราะห์จาก บล.เคจีไอ กล่าวว่า BBL เป็นหนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ที่จะได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว โดยในครึ่งหลังปี 60 คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะเติบโต 4% จากทั้งปี 60เติบโต 3.8% และในปี 61 จีดีพีจะเติบโตประมาณ 4.2%
ขณะที่สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของ BBL ขยับตามฤดูกาลและมีรูปแบบที่แน่นอนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจังหวะที่ NPL อยู่ในขาขึ้น โดย NPL มักจะเพิ่มขึ้นในระดับปานกลางในไตรมาสแรก และเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ก่อนที่จะชะลอตัวลงในไตรมาส 4 เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างหนี้ และ write-off หนี้เสียเพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าจีดีพีจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลังปี 60 และปี 61 จึงมองว่า NPL น่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของวัฎจักรรอบนี้แล้ว และน่าจะลดลงได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่มีการ write-off หนี้เสียก้อนใหญ่
จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปี 61 เราประเมินแบบระมัดระวังว่าธุรกิจของ BBL จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น โดย upside ของประมาณการกำไรของเราจะมาจากอัตราการฟื้นตัวของคุณภาพสินทรัพย์และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จากการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิก่อนกำหนด
เราใช้สมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อปี 60 และปี 61 ที่ 5% และ 8%, NIM ที่ 2.4% และ 2.4%, non-NII growth ที่ 15% และ 5% และสัดส่วนต้นทุน/รายได้ที่ 51% และ 50% เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าที่ 220 บาท (เพิ่มขึ้นจากเดิม 189 บาท) อิงจากกำไรเฉลี่ย 2 ปีข้างหน้า และใช้ P/E ที่ 10x และ P/BV ที่ 1.0x พร้อมทั้งปรับเพิ่มคำแนะนำจาก"ถือ"เป็น"ซื้อ"
นางสาวสุนันทา วสะภิญโญกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าการเติบโตของสินเชื่อแม้ว่าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็ยังประเมินว่าการแก้ไขปัญหา NPL จะทำได้ล่าช้าที่สุดในกลุ่ม อย่างไรก็ดี ในปี 61 คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่เต็มที่ทั้งปี แต่กำไรอาจยังไม่ค่อยโดดเด่น แนะนำ"ซื้อ"เพราะ valuation ยังต่ำ ให้ราคาเป้าหมายที่ 208 บาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า สินเชื่อของ BBL เติบโตน้อยจากการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ และธุรกิจขนาดใหญ่จ่ายคืนสินเชื่อด้วย ส่วนกำไรปีนี้คาดทรงตัวจากปีก่อน โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 อยู่ที่ 31,692 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 31,815 ล้านบาท อย่างไรก็ดี BBL ยังมีข้อดีเรื่องเงินปันผลให้ผลตอบแทน (yield) ประมาณ 3-4% ประกอบกับ Valuation ค่อนข้างต่ำ
ส่วนนายอดิศร มุ่งพาลชน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า BBL จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ และ การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยคาดว่าจะได้รับผลดีในปลายปีนี้ถึงต้นปี 61 แต่แนะนำให้ถือเพราะไม่มี upside จากราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 186 บาท