ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ SPALI ที่ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 12, 2017 13:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ศุภาลัย จำกัด (SPALI) ที่ระดับ “A"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ตลอดจนแบรนด์สินค้าที่เป็นที่รู้จักในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง พอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสมดุลเป็นอย่างดี และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ปัจจุบันรายได้และกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศและสินทรัพย์ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอของบริษัทยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับธุรกิจที่มีอยู่เดิม โดยรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ หนี้ภาคครัวเรือนทั่วประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูงยังเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิต

SPALI เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรม ณ เดือนกรกฎาคม 2560 ตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วน 29%

บริษัทนำเสนอสินค้าที่อยู่อาศัยที่หลากหลายทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม โดยเน้นตลาดระดับราคาปานกลางและมีโครงการตั้งอยู่ในหลายเมืองหลักในประเทศไทย การมีสินค้าที่หลากหลายตั้งอยู่ในหลายพื้นที่ทำให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่มีความแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยที่เปิดขายอยู่จำนวนประมาณ 100 โครงการ ด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยประมาณครึ่งหนึ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรและอีกครึ่งหนึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม

ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้ ยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากยอดขายโครงการบ้านจัดสรรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทได้เปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2557 ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น 16.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 12,556 ล้านบาท โดยยอดขายโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 28.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 7,346 ล้านบาท และยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 5,210 ล้านบาท

ในทำนองเดียวกันกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2556-2559 อย่างไรก็ตาม รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ลดลง 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยฐานรายได้ค่อนข้างสูงในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เพราะบริษัทได้ประโยชน์จากการปรับลดภาษีค่าโอนอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทลดลง 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 5,465 ล้านบาท และรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมลดลง 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 4,084 ล้านบาท

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 2560 จะทรงตัวที่ระดับใกล้เคียงเดิมก่อนที่จะเติบโตอีกครั้งในปี 2561 โดยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 30,000 ล้านบาทในปี 2563 ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2560 จนถึงปี 2563 ส่วนหนึ่งมียอดเงินจากสินค้ารอส่งมอบที่รอรับรู้รายได้สนับสนุนไว้แล้วจำนวนประมาณ 37,000 ล้านบาท บริษัทจะมีรายได้จากสินค้ารอส่งมอบในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 จำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2561 จะมีประมาณ 11,000 ล้านบาท และระหว่างปี 2562 ถึงปี 2563 จะมีอีกประมาณ 16,000 ล้านบาท

บริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2556 โดยบริษัทได้ซื้ออาคารสำนักงานในประเทศฟิลิปปินส์มูลค่าประมาณ 900 ล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2556 และยังได้ลงทุนในกิจการร่วมค้าอีก 6 แห่งกับพันธมิตรท้องถิ่นที่เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศออสเตรเลียมูลค่ารวมประมาณ 1,600 ล้านบาทในช่วงปี 2557 จนถึงครึ่งแรกของปี 2560 อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนในต่างประเทศยังถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่รายได้ค่าเช่าและส่วนแบ่งกำไรขาดทุนจากการลงทุนในต่างประเทศก็ยังเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

ระดับการก่อหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเป็น 47.3% ณ เดือนมิถุนายน 2560 จากระดับสูงสุดเกือบ 50% ในปี 2558 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวดียิ่งขึ้นหลังจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างเงินทุน โดยในเดือนมิถุนายน 2560 คณะกรรมการของบริษัทได้มีมติอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ชุดใหม่ (SPALI-W4) และงดการจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบปี 2560

ทั้งนี้ มติดังกล่าวของคณะกรรมการจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมวิสามัญที่จะจัดให้มีขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน 2560 เสียก่อน เงินที่จะได้รับจากการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิและการงดการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มฐานะเงินสดให้แก่บริษัทได้ประมาณ 3,500 ล้านบาทในช่วง 2 ปีข้างหน้า และจะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงโดยจะอยู่ที่ประมาณ 40% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าภายใต้ประมาณการของทริสเรทติ้ง

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงแข็งแกร่งแม้จะอ่อนตัวลงในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ในช่วง 26%-28% ในระหว่างปี 2558 จนถึงครึ่งแรกของปี 2560 จากในอดีตที่สูงกว่า 30% เนื่องจากบริษัทขายโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนกำไรจากโครงการบ้านจัดสรรจึงเพิ่มสูงขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วโครงการบ้านจัดสรรจะให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าโครงการคอนโดมิเนียม

ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทจึงลดต่ำลง การแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันความสามารถในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในระดับดังกล่าวถือว่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ได้รับการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 25%

ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทลดลงหลังจากที่ความสามารถในการทำกำไรอ่อนตัวลง อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 50% ในช่วงก่อนปี 2555 แต่ลดลงหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยอัตราส่วนดังกล่าวขึ้นและลงอยู่ในช่วง 18%-39% ในช่วงปี 2556 จนถึงครึ่งแรกของปี 2560 ทั้งนี้ แม้อัตราส่วนดังกล่าวจะลดต่ำลงแต่ก็ยังคงถือว่าสูงสำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยอยู่ในช่วง 20%-30% จากการปรับตัวดีขึ้นของโครงสร้างเงินทุนเป็นสำคัญ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ปีละ 4,000-6,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่บริษัทจะมีเงินกู้ที่ครบกำหนดในแต่ละปีที่ 5,000-7,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานจึงอาจขาดไปประมาณ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่มากเพียงพอโดยได้รับแรงหนุนจากวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ที่มีกับธนาคารพาณิชย์อีกประมาณ 20,000 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะไม่น้อยกว่า 20% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นในกรณีที่ผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ในทางกลับกัน ความสามารถในการทำกำไรหรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่ด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลงในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ