นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) กล่าวว่า บริษัทมีแผนดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) เนื่องจากมองการขยายโซลาร์ฟาร์มในอนาคตอาจจะมีผลตอบแทนที่ลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต ขณะเดียวกันภาครัฐอยู่ระหว่างการร่างกฎเกณฑ์โซลาร์รูฟท็อปแบบผลิตไฟฟ้าใช้เองและขายเข้าระบบไฟฟ้า ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปีของไทย ซึ่งจะมีการกำลังการผลิตราว 10,000 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ยังมีโอกาสอีกมากสำหรับโซลาร์รูฟท็อป คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet of Energy) คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้
นายบัณฑิต กล่าวว่า การลงทุนที่กล่าวมาข้างต้น บริษัทคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ราว 12-15% ขณะที่เงินลงทุนถือว่ามีเพียงพอจากเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนพลังงานในทุกรูปแบบ ทั้งพลังงานลม ,Mini Hydro และพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น โดยคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ซึ่งพลังงานลม บริษัทฯ มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศที่มีลมค่อนข้างแรง เช่น ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, เกาหลีใต้ ขณะที่ Mini Hydro บริษัทฯมีความสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศลาว ,อินเดีย และอินโดนีเซีย ส่วนพลังงานความร้อนใต้พิภพ จะเป็นโครงการลงทุนต่อเนื่องในเฟส 3 และเฟสที่ 4 ของบริษัท สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (Star Energy Group Holdings Pte.Ltd.) ที่ BCPG ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 33.33%
นายบัณฑิต กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปของ BCPG ภายใน 5 ปี (61-65) จะเติบโตเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท โดยการดำเนินงานต่อจากนี้บริษัทจะเน้นเพิ่มกำไรต่อเมกะวัตต์มากขึ้นด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน เนื่องจากมองว่าการทำธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ ผลตอบแทนจะปรับตัวลดลงในอนาคต