ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 2 พันลบ.MINT ที่ระดับ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 13, 2017 15:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่ระดับ “A+" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+" ด้วย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่ถึงกำหนดและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทอันเนื่องมาจากสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งของบริษัทและความหลากหลายของธุรกิจทั้งในส่วนของประเภทและทำเลที่ตั้ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่อ่อนไหวของธุรกิจโรงแรมและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจจัดจำหน่าย รวมทั้งภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

MINT ก่อตั้งในปี 2521 โดย Mr. William Ellwood Heinecke ณ เดือนกรกฎาคม 2560 Mr. Heinecke และกลุ่มเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวม 34% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (Hospitality & and Mixed Use Real Estate) ธุรกิจร้านอาหาร (Restaurant) และ ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า (Retail Trading & Contract Manufacturing) ในครึ่งแรกของปี 2560 รายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร คิดเป็นสัดส่วน 42% และ 41% ของรายได้รวม ตามลำดับ ในขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ สร้างรายได้ 9% และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้าสร้างรายได้ 7% ของรายได้รวม

ฐานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งจากการมีสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งรวมถึงการมีประเภทธุรกิจและทำเลที่ตั้งที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้บริษัททนต่อความท้าทายทางธุรกิจที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ และสามารถรักษาระดับการเติบโตของรายได้อย่างมั่นคง การผสมผสานกันระหว่างธุรกิจอาหารที่มีผลการดำเนินงานที่แน่นอนกับธุรกิจโรงแรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ ที่มีอัตรากำไรสูงแต่ผันผวนช่วยรักษาระดับผลประกอบการโดยรวมของบริษัทให้มีความสม่ำเสมอได้เป็นอย่างดี

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งหมด 155 แห่ง ด้วยจำนวนห้องพัก 19,896 ห้องใน 24 ประเทศซึ่งครอบคลุมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาใต้ บริษัทบริหารและดำเนินงานโรงแรมเหล่านี้ภายใต้แบรนด์โรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น Four Seasons รวมถึง JW Marriott, St. Regis, Radisson และภายใต้แบรนด์โรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara, Oaks, AVANI, Elewana, Per AQUUM และ Tivoli

สำหรับธุรกิจร้านอาหารนั้น บริษัทดำเนินกิจการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 MFG เป็นผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการร้านอาหารแบบแฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ “สเวนเซ่นส์" “ซิซซ์เล่อร์" “แดรี่ ควีน" และ “เบอร์เกอร์ คิง" นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์สินค้าของบริษัทเอง ได้แก่ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" “เดอะค็อฟฟีคลับ" “ริบส์ แอนด์ รัมพ์" “ไทยเอ็กเพรส" “Beijing Riverside and Courtyard (Riverside)" ในประเทศจีน และ “BreadTalk" ในประเทศไทย

บริษัทสามารถใช้แบรนด์ร้านอาหารที่บริษัทเป็นเจ้าของและแบรนด์แฟรนไชส์จากต่างประเทศบางแบรนด์ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวมทั้งหมด 2,037 แห่งใน 19 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยร้านที่บริษัทเป็นเจ้าของ 1,031 แห่งและร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีก 1,006 แห่ง

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนใน บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (S&P) และ BreadTalk Group Ltd. (BreadTalk) ในประเทศสิงคโปร์อีกด้วย

บริษัทยังมี บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น (MINOR) เป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของบริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าด้วย โดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Esprit, Gap, Bossini, Charles & Keith, Banana Republic และ Anello

ฐานะความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทสะท้อนถึงฐานกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นและภาระหนี้ที่สูงจากการขยายธุรกิจของบริษัท ในปี 2559 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 51,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีที่ผ่านมา โดยรายได้ในส่วนของธุรกิจโรงแรมรวมถึงธุรกิจสปาและธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมเติบโต 29% ในปี 2559 มาอยู่ที่ 22,474 ล้านบาท การเติบโตดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโรงแรมในประเทศโปรตุเกสและประเทศแซมเบียที่บริษัทซื้อกิจการมา ในส่วนของรายได้จากธุรกิจร้านอาหารซึ่งรวมรายได้ค่าแฟรนไชส์ของธุรกิจอาหารในปี 2559 นั้นมีอัตราการเติบโต 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 21,588 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ การรวมรายได้เต็มปีจาก Minor DKL Food Group Pty. Ltd. (Minor DKL) ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี และการเพิ่มจำนวนร้านอาหาร

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยอยู่ที่ 27,172 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่เติบโตของธุรกิจโรงแรมและการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 16.49% เพิ่มขึ้นจากที่ระดับประมาณ 15% ในช่วงปี 2558-2559 ซึ่งเป็นผลจากการควบคุมต้นทุนในธุรกิจร้านอาหารและการปรับรูปแบบการขายของธุรกิจบริการที่พักแบบแบ่งส่วนเวลา (Anantara Vacation Club)

ในระหว่างปี 2560-2562 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ที่เติบโตได้ในระดับสูงจากการดำเนินธุรกิจที่มีอยู่และจากแผนการขยายธุรกิจ โดยคาดว่าฐานกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 17% ในช่วงปี 2562 อันเป็นผลมาจากการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อาทิ แผนการปรับปรุงโรงแรมบางแห่งของบริษัท การปรับรูปแบบธุรกิจบริการที่พักแบบแบ่งส่วนเวลา และการปรับโครงสร้างของร้านอาหารไทยเอ็กเพรส

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนตัวลงในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาโดยมีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนในหลายโครงการทั้งโรงแรมและโครงการอสังหาริมทรัพย์ฯ โดยภาระหนี้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจาก 45,492 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 53,545 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 โดย อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ระดับ 59.57% สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่ออัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ไม่รวมรายการพิเศษและปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 5.28 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ระดับ 14.80% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)

ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างหนี้สินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการชำระคืนหนี้ตามกำหนด นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะมีเงินทุนเพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิจำนวนประมาณ 7,500 ล้านบาทในช่วงปลายปี 2560 ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจุบันไปอยู่ที่ระดับประมาณ 20% ในปี 2562

ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านับจากเดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอเมื่อพิจารณาจากแหล่งเงินทุนและความต้องการใช้ โดยคาดหมายว่าแหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะประกอบไปด้วย EBITDA อย่างน้อย 12,200 ล้านบาทต่อปีและเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 จำนวน 3,532 ล้านบาท รวมทั้งวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 9,000-9,500 ล้านบาท และแผนการลงทุนประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาทต่อปี โดยไม่รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงเวลาดังกล่าว

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีธุรกิจที่หลากหลายทั้งประเภทและทำเลที่ตั้ง โดยทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการลดภาระหนี้ได้ตามแผน โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทในระยะ 12 เดือนข้างหน้ายังมีจำกัดเมื่อพิจารณาจากฐานะการเงินของบริษัทในปัจจุบัน ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มของบริษัทมีจำกัดภายใต้อันดับเครดิตในระดับปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ