ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี (CCP) เป็นระดับ “BB+" จาก “BBB-" พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable" หรือ“คงที่" จาก “Negative" หรือ “ลบ" โดยการลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอยิ่งขึ้น ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่ถดถอยลง รวมถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นทั้งในด้านสภาพคล่องและจากการกู้ยืมใหม่หรือการรีไฟแนนซ์สำหรับเงินกู้ที่กำลังจะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ยาวนานของบริษัท ตลอดจนการมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอในตลาดที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ และความแข็งแรงของงบการเงินที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีขนาดธุรกิจที่เล็กเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ตลอดจนการกระจุกตัวของธุรกิจเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรี สภาวะตลาดในประเทศที่ซบเซา และการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่มีความรุนแรงมากขึ้น
บริษัทผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีเป็นผู้ผลิตสินค้าคอนกรีตในจังหวัดชลบุรีซึ่งก่อตั้งในปี 2526 บริษัทประกอบธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตผสมเสร็จและคอนกรีตสำเร็จรูป ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่สำหรับวัสดุก่อสร้างภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ชลบุรีกันยง จำกัด และธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตมวลเบาภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2546 รายได้รวมของกลุ่มบริษัทในปี 2559 ลดลงเป็นปีที่สองโดยอยู่ที่ประมาณ 2,300 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจคอนกรีตสร้างรายได้คิดเป็นประมาณ 57% ของรายได้รวม ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่และธุรกิจคอนกรีตมวลเบาสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 28% และ 12% ตามลำดับ
ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทเกิดจากการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานและความสามารถในการแข่งขันภายในพื้นที่ตลาดของบริษัท บริษัทดำเนินธุรกิจและได้สร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในจังหวัดชลบุรีมานานกว่า 30 ปี โรงงานของบริษัทและเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่สนับสนุนธุรกิจส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีซึ่งช่วยเสริมให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งในด้านการให้บริการและค่าขนส่งที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งในและนอกพื้นที่ นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างมากในภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทยยังถือเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อการเติบโตของรายได้ของบริษัทอีกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีขนาดธุรกิจที่เล็กเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น ตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทจึงค่อนข้างอ่อนแอเนื่องจากในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตนั้นมีผู้ผลิตรายใหญ่จำนวน 3 รายครองตลาดอยู่ การมีขนาดธุรกิจที่เล็กส่งผลให้บริษัทมีความอ่อนไหวอย่างมากในช่วงที่ภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาลง สถานะทางธุรกิจของบริษัทแสดงถึงความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในพื้นที่เพียงแห่งเดียวโดยรายได้ของบริษัทมาจากจังหวัดชลบุรีมากกว่า 75% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังได้พิจารณารวมถึงรายได้และกำไรของบริษัทที่ผันผวนด้วยเช่นกัน
การปรับลดอันดับเครดิตสืบเนื่องมาจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอกว่าคาดและธุรกิจคอนกรีตมวลเบาที่ยังคงมีปัญหาอย่างมากอยู่ ทั้งนี้ อุปสงค์ของปูนซีเมนต์และคอนกรีตยังคงอ่อนแอมาโดยตลอด ในขณะที่การแข่งขันในตลาดวัสดุก่อสร้างก็ยังคงรุนแรงโดยเห็นได้จากการตัดราคาและจำนวนคู่แข่งที่มีมากในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ส่งผลให้ยอดขายรวมของทั้งกลุ่มของบริษัทยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 รายได้ลดลงเหลือ 1,100 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกันปีต่อปี ในขณะที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ล่าช้ามาอย่างยาวนานและอัตราการเติบโตของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยที่ช้าลงนั้นก็ยังเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งผลประกอบการโดยรวมของบริษัทให้ย่ำแย่ลงอีกด้วย
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังไม่ฟื้นตัว บริษัทรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 15 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เริ่มลดลงต่ำกว่า 10% ตั้งแต่ปี 2558 โดยลดลงเหลือ 6.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 การขาดทุนของธุรกิจคอนกรีตมวลเบายังคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลง ทั้งนี้ บริษัทสมาร์ทคอนกรีตประสบกับปัญหายอดขายและกำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทดังกล่าวมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่เคยอยู่สูงกว่า 20% กลับลดลงเหลือ 2.3% ในปี 2559 และเหลือ -3.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ทั้งนี้ จากสภาวะตลาดที่ยังคงอ่อนแอ ทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการที่ย่ำแย่ของ บริษัทสมาร์ทคอนกรีตจะยังไม่ฟื้นตัวในช่วงเวลาอันสั้นนี้และยังคงมีผลในเชิงลบต่อผลประกอบการของทั้งกลุ่มบริษัท
เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องตามกำไรที่หดตัว โดยเงินทุนจากการดำเนินงานลดเหลือประมาณ 68 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ซึ่งต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม ภาระเงินกู้ของบริษัทกลับเพิ่มขึ้นเป็น 885 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเหลือ 16.5% (หลังปรับเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ของ
ทริสเรทติ้งที่กำหนดไว้ที่ระดับ 20% กระแสเงินสดที่อ่อนตัวลงจนมีผลกระทบต่อการชำระเงินกู้ดังกล่าวบ่งบอกถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
บริษัทมีแหล่งเงินทุนสำหรับสภาพคล่องไม่เพียงพอต่อภาระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 130-150 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่บริษัทมีตั๋วแลกเงินจำนวนประมาณ 150 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในระหว่างเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2560 และมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคม 2561 อีกจำนวน 250 ล้านบาท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะยังจำเป็นต้องต่ออายุ (Roll Over) หรือรีไฟแนนซ์ภาระเงินกู้ส่วนใหญ่ต่อไป ทริสเรทติ้งประเมินว่าความเสี่ยงด้านการรีไฟแนนซ์ของบริษัทนั้นมีสูงขึ้นโดยพิจารณาจากผลประกอบการที่ยังน่าเป็นห่วงและความไม่แน่นอนของตลาดเงินในปัจจุบัน
ในอนาคตทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถในการทำกำไรจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่ออันดับเครดิตของบริษัท โดยที่ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor -- EEC) ที่มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่ได้คาดหมายว่าอุปสงค์ของวัสดุก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถชดเชยอุปทานส่วนเกินที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทเองก็ยังไม่น่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจหลักของบริษัทต่อไป โดยในส่วนของธุรกิจอิฐมวลเบานั้นคาดว่าจะยังคงขาดทุนต่อไปและต้องการเวลาที่มากขึ้นในการฟื้นฟู ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในจังหวัดชลบุรีเอาไว้ได้รวมทั้งจะลดระดับหนี้เงินกู้ลงและรักษาสภาพคล่องเพื่อให้สามารถผ่านพ้นช่วงที่สภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ไปได้
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงกระแสเงินสดที่ใช้สำหรับรองรับภาระหนี้ให้ดีขึ้นซึ่งอาจเกิดได้จากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นเป็นระยะเวลานานและการลดลงของระดับหนี้เงินกู้อย่างมีนัยสำคัญ
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอมากขึ้น และ/หรือหนี้เงินกู้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ